จบด้วยดีหลัง ร.ร.เปิดคลิปภาพกล้องวงจรปิดปมนักเรียนถูกทำร้าย พบเป็นการหยอกล้อ กระชากคอเสื้อน้องอนุบาลขาด ไม่ใช่กรรไกรกรีด ด้าน ร.ร.รับปากจะดูแลเด็กใกล้ชิดมากขึ้น ส่วน ป.5 ที่เตะน้องเอวช้ำ เหตุเกิดน้อง ร.ร. ผู้ปกครองได้ขอโทษยายเด็กแล้ว ให้อภัยไม่ติดใจเอาเรื่อง
13 มกราคม 2568 ความคืบหน้ากรณีที่ผู้ปกครองนักเรียนชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน ต.ทรัพย์พระยา อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ร้องขอความเป็นธรรมผ่านสื่อว่า ด.ช.เอ (นามสมมติ) อายุ 6 ขวบ ซึ่งเรียนอยู่ชั้นอนุบาล 3 ถูกรุ่นพี่ ป.6 กลั่นแกล้งด้วยการใช้กรรไกรกรีดคอเสื้อขาด ในโรงเรียนซึ่งมีการจัดงานวันเด็กเมื่อวันที่ 11 ม.ค.68 ที่ผ่านมา และก่อนหน้านั้นช่วงปีใหม่ ยังมีรุ่นพี่ ป.5 ซึ่งอาศัยในหมู่บ้านเดียวกัน ทำร้ายน้องด้วยการใช้เท้าเตะน้องอย่างแรง จนบริเวณเอวมีรอยเขียวช้ำ แต่ทางผู้ปกครองของรุ่นพี่สองคนที่กลั่นแกล้งและทำร้ายน้อง ยังไม่มีการพูดคุยหรือแสดงความรับผิดชอบใดๆ ทำให้ผู้ปกครองของน้องเกรงไม่ได้รับความเป็นธรรม และกลัวรุ่นพี่จะทำร้ายหรือกลั่นแกล้งน้องด้วยความรุนแรงซ้ำอีก
ล่าสุดวันนี้ (13 ม.ค.68) ทางผู้บริหารโรงเรียน ได้มีการนัดผู้ปกครองเด็กทั้งสองฝ่ายมาพูดคุยเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งเปิดคลิปภาพจากกล้องวงจรปิด เพื่อให้เกิดความกระจ่าง โดยมีตัวแทนจากเขตพื้นที่การศึกษาฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หนองไทร คณะกรรมการสถานศึกษา และผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ มาร่วมพูดคุยและรับฟัง
ซึ่งก่อนที่จะมีการพูดคุยทางโรงเรียนก็ได้มีการเปิดภาพกล้องวงจรปิด ให้ผู้ปกครอง รวมถึงผู้ที่มาร่วมพูดคุยในครั้งนี้ได้ดูพร้อมกัน ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นวันที่ 10 ม.ค.68 โรงเรียนมีการจัดกิจกรรมวันเด็ก มีเด็กตั้งแต่ชั้นอนุบาล ถึง ป.6 มาร่วมกิจกรรม ในคลิปเด็กๆ ก็จะสนุกสนาน ส่วน ด.ช.เอ น้องอนุบาล ที่ผู้ปกครองบอกว่าถูกรุ่นพี่ใช้กรรไกรกรีดคอเสื้อขาดนั้น เท่าที่ดูในวงจรปิดไม่มีการใช้กรรไกรกรีดคอเสื้อ มีเพียงจังหวะที่น้องหยอกล้อเล่นกับเพื่อนแล้วมีการดึงคอเสื้อกันเท่านั้น คาดว่าน่าจะเป็นจังหวะนี้ที่ทำให้คอเสื้อขาดซึ่งเป็นเพียงการหยอกล้อกันเท่านั้น
ส่วนกรณีที่ผู้ปกครองร้องเรียนว่ามีรุ่นพี่ ป.5 ซึ่งอยู่หมู่บ้านเดียวกัน ไปเตะน้องอนุบาล จนเอวเขียวช้ำนั้น ทางผู้ปกครองของน้อง ป.5 ก็ได้มาพูดคุยทำความเข้าใจกับผู้ปกครองน้องอนุบาลว่าเด็กน่าจะหยอกเล่นกัน คงไม่ได้มีเจตนาทำร้าย เพราะทั้งคู่ก็เล่นด้วยกันหลายครั้ง หลังจากมีการพูดคุยทั้งสองฝ่ายก็เข้าใจกัน ต่างฝ่ายต่างขอโทษซึ่งกันและกัน และไม่ติดใจเอาเรื่องก็จบลงด้วยดี
ส่วนทางโรงเรียนก็รับปากจะดูแลเด็กใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อไม่ให้หยอกล้อหรือเล่นกันรุนแรง พร้อมทั้งฝากถึงผู้ปกครองด้วยว่า หากมีอะไรก็ให้มาสอบถามทางโรงเรียนเพื่อให้ตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จจริงก่อน เพราะหากไปร้องเรียนออกสื่อหรือโซเชียล อาจจะทำให้เรื่องราวบานปลาย
