ไพศาล ชี้รัฐบาลไม่ควรปากพล่อยเรื่องภาษี

View icon 111
วันที่ 6 ธ.ค. 2567
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
ไพศาล ชี้รัฐบาลไม่ควรปากพล่อยเรื่องภาษี ยก 4 เหตุผลคัดค้านขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เก็บราบเก็บเรียบจนประชาชนอ่วมอรทัยตาม ๆ กัน

ภาษีมูลค่าเพิ่ม วันนี้ (6 ธ.ค.67) นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย ให้ความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า 3 เรื่องที่รัฐบาลจะปากพล่อยไม่ได้โดยเด็ดขาด ในการบริหารบ้านเมือง แม้รัฐบาลมีหน้าที่ต้องชี้แจงแถลงไขให้ประชาชนได้รับทราบความเป็นไปในบ้านเมืองอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีคติ อันหนักแน่นว่ามี 3 เรื่อง ที่รัฐบาลจะเปิดเผยออกมาก่อนไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะจะเกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างใหญ่หลวง คือ 1.การประกาศสงครามกับชาติใดชาติหนึ่ง 2.การปรับหรือลดค่าเงินบาท  3.การขึ้นหรือลดอัตราภาษี

เพราะทั้ง 3 เรื่องนี้ มีประโยชน์ได้เสีย ทั้งต่อประเทศชาติและผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวข้อง และเพื่อป้องกันไม่ให้นักการเมือง เอาข่าวคราวเรื่องนี้ไปตีกินหาประโยชน์จากพ่อค้านักธุรกิจ แต่ปรากฏว่า มีรัฐมนตรีบางคนได้กล่าวต่อสาธารณะว่า จะมีการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็น 15 % เพราะอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่เก็บอยู่ในปัจจุบันนี้ ยังต่ำกว่าหลายประเทศ และในที่สุดก็สรุปว่า นี่เป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น จะเป็นจริงหรือไม่ก็ต้องรอการพิจารณาต่อไป

นายไพศาล ระบุอีกว่า นี่ก็ถือได้ว่าเป็นการปากพล่อยอย่างหนึ่งและเป็นการละเมิดข้อปฏิบัติ ที่อาจเกิดข้อได้เสียหรือเกิดความเสียหายแก่รัฐและประชาชนได้ เข้าลักษณะปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบอีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน ในฐานะประชาชนผู้เสียภาษีก็ต้องคัดค้านอย่างหนักหน่วงว่า ไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้

ข้อความตอนหนึ่ง นายไพศาลยกเหตุผลที่ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ไว้ดังนี้

1.ประเทศไทยเป็นประเทศที่แปลกประหลาด คือ จัดเก็บภาษีทั้ง 2 ข้าง คือ เมื่อมีเงินได้ก็เก็บภาษีเงินได้ ครั้นเอาเงินได้นั้นไปจับจ่ายใช้สอยก็เก็บภาษีจากการจ่ายอีก เรียกว่าเก็บราบเก็บเรียบจนประชาชนอ่วมอรทัยตาม ๆ กัน

2.ที่อ้างว่า ประเทศไทยยังเก็บอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มต่ำกว่าหลายประเทศนั้น เป็นการพูดไม่หมดเข้าลักษณะหลอกลวง บางประเทศที่มีอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มสูงกว่าไทยนั้น เขาเก็บขาเดียวคือเก็บขาจ่าย เวลามีเงินได้ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ เขาเก็บแต่ด้านจ่าย คือเอาเงินได้ไปจ่ายเมื่อใดก็เก็บภาษีเมื่อนั้น แต่ของ ไทยเราเก็บทั้งรับทั้งจ่าย ซึ่งไม่เป็นธรรมแก่ผู้เสียภาษี

3.ปัจจุบัน สถานการณ์ทางเศรษฐกิจย่ำแย่ โรงงานปิดกิจการกันเป็นแถว ผู้คนรายได้ไม่พอจ่าย ถ้าขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 15% ราคาสินค้าและบริการก็จะต้องขึ้นไปอย่างน้อย 15% แต่นิสัยพ่อค้ามีหรือที่จะขึ้นราคาสินค้าเท่าจำนวนภาษีที่ต้องเก็บเพิ่ม เขามีแต่จะขายสินค้าในราคาสูงขึ้นไปอีก อย่างน้อยก็ต้องเป็น 25% เท่ากับเพิ่มค่าครองชีพให้ประชาชนอีก 25%

4.เหตุที่พวกนักการเมืองจะขึ้นภาษีก็เพราะว่า มีรายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย และไม่สามารถกู้เงินมาชดเชยงบประมาณได้อีกแล้ว ดังนั้นจึงหาหนทางโขกภาษีเอากับประชาชน ซึ่งไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงเพราะมีทางอื่นที่ดีกว่านี้ นั่นคือการลดรายจ่ายซึ่งกรมบัญชีกลางเคยท้วงมาแล้วว่า รายจ่ายสูงสุดของแผ่นดินคือรายจ่ายค่าเงินเดือนข้าราชการ ซึ่งมีมากเกินความจำเป็น เทียบกับสหรัฐฯ ประชากร 300 ล้านคน มีข้าราชการและทหารรวมกันแค่ 3 ล้านคน ประเทศไทยมีประชากรไม่ถึง 70 ล้านคน แต่มีข้าราชการรวมกันถึง 4 ล้านคน ยังไม่รวมพวกลูกจ้างชั่วคราว หรือพวกที่แอบแฝงจ้างในรูปแบบต่าง ๆ อีกเกือบ 5 แสนคน จึงต้องจ่ายเงินเดือนค่าจ้างและอื่น ๆ อีกมากมาย