โวย คนเมาซิ่งรถเบนซ์ชนคนเสียชีวิต คดีมีพิรุธ

View icon 120
วันที่ 21 พ.ย. 2567
ข่าวเย็นประเด็นร้อน
แชร์
ข่าวเย็นประเด็นร้อน - : เด็กคนหนึ่งต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า หลังจากพ่อถูกคนเมาขับรถเบนซ์ชนเสียชีวิต เรื่องผ่านมาหลายเดือน แต่น้องยังไม่ได้รับการเยียวยา คดีความส่อมีพิรุธ และที่ช้ำหนัก เมื่อมีเพจช่วยเหลือคน ทำทียื่นมือช่วยเหลือ แต่เรียกเก็บค่าเดินทาง 10,000 บาท 

พ่อของน้องคนนี้ชื่อ นายบุญรอด บุปผาทอง อายุ 39 ปี ถูกคนเมาขับรถเบนซ์ชนเสียชีวิต ขณะกำลังขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้าน เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 เวลาประมาณ 01.00 น. ตำรวจตรวจสอบที่เกิดเหตุ ไม่มีการพ่นสีสเปย์จุดเกิดเหตุ และรีบนำศพออกจากพื้นที่ ไม่มีการเรียกญาติมาดู ทั้งที่บ้านผู้ตายอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ

พอญาติมาถึง พบทั้งรถทั้งศพ ถูกเคลียร์ออกหมดแล้ว คดีนี้ตำรวจตั้งข้อกล่าวหาประมาทร่วม อ้างว่าถนนเส้นนี้มืดมาก ผู้ตายทำหมวกแก๊ปหล่น จึงวนรถมาเก็บหมวก ทำให้เกิดอุบัติเหตุ แต่ญาติไม่เชื่อ เพราะมีพยานขับรถนำหน้ามา ได้ยินเสียงตอนชนชัดเจน และคนก่อเหตุก็สารภาพเองว่าหลบหลุมมาชน

ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่บ้านเลขที่ 33 หมู่ 7 ตำบลฆะมัง อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ พบนางปทุม บุปผาทอง อายุ 83 ปี แม่ผู้เสียชีวิต และนางรดาวัลย์ จันจินดา อายุ 55 ปี พี่สาวผู้ตาย พร้อมเจอลูกผู้ตาย

นางรดาวัลย์ เล่าว่า คืนวันเกิดเหตุ น้องชายขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้าน มีวัยรุ่นคนรู้จักที่อยู่แถวบ้าน ขี่รถอีกคันประกบมาด้วย เพราะรถของน้องชายน้ำมันจะหมด พอมาถึงที่เกิดเหตุ ห่างจากบ้านไม่กี่ร้อยเมตร น้องชายบอกให้รถเพื่อนแซงไปได้

จากนั้นมี นายเอก อายุ 30 ปี เป็นครูที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ขับรถเบนซ์มาด้วยความเร็ว แล้วชนรถน้องชาย ทำให้เสียชีวิตคาที่  สภาพศพขาขาดหลุดลอยหายไป กว่าจะเจอขาก็ตอนเช้าอีกวัน พบอยู่ในป่า ต่อมาผู้ก่อเหตุพร้อมครอบครัวมาไหว้ศพ โดย นายเอก สารภาพว่าได้หลบหลุมบนถนน เป็นสาเหตุให้ขับเข้าไปกินเลนชนรถผู้ตาย และพ่อผู้ก่อเหตุรับปากว่าจะให้เงินค่าสินไหมจากประกันรถยนต์ 500,000 บาท แต่ตอนนี้เอาค่าปลงศพไปก่อน 50,000 บาท

หลังงานศพ มีการเจรจากันต่อหน้า และการสอบสวน ทางญาติผู้ตายเรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มอีก 500,000 บาท แต่ผู้ที่ก่อเหตุไม่ยอมจ่าย บอกเอาไปแค่ 50,000 บาท อยากฟ้องก็ฟ้องไป ยอมติดคุก

ต่อมา วันที่ 18 กรกฎาคม 2566 มีการแจ้งความเอาผิดผู้ก่อเหตุ ที่ สภ.ชุมแสง แต่พนักงานสอบสวนได้ทำคดีล่าช้า มีพิรุธหลายอย่าง โดยกล่าวหาว่า "น้องตนทำหมวกหล่น แล้ววนไปเก็บ ทำให้เกิดอุบัติเหตุ"

จึงไปร้องเรียนหน่วยงานของรัฐ มีการเปลี่ยนพนักงานสอบสวน เพราะไม่เชื่อว่าน้องชายจะทำหมวกหล่น เนื่องจากน้องชายขับรถช้า แถมยังมีพยานที่มาด้วยกัน ถ้าทำหมวกหล่นจริง พยานจะไม่ได้ยินเสียงรถชนเลย แต่พยานที่มาด้วย บอกได้ยินเสียงรถชนดังมาก จึงวนกลับมาดู พอขอดูหลักฐานรูปถ่ายตอนเกิดอุบัติเหตุ ก็ไม่ให้ดู ถามหากล้องหน้ารถเบนซ์ ก็บอกไม่มี รวมถึงพยานเห็นว่า ภายในรถเบนซ์มาด้วยกัน 4-5 คน แต่เรียกสอบพยานเพียง 1 คน ตอนนี้เรื่องผ่านมา 1 ปีกว่าแล้ว ทางผู้ก่อเหตุไม่เคยติดต่อมาดูแล ไม่มีการเยียวยาแม้แต่บาทเดียว มีแค่ช่วยเงินจากงานศพ 50,000 บาทแรกเท่านั้น ทางพ่อผู้ก่อเหตุก็เป็นถึงผู้อำนวยการโรงเรียน กลัวว่าคดีนี้จะไม่ได้รับความเป็นธรรม

ตอนนี้ครอบครัวเดือดร้อนหนัก เนื่องจากผู้ตายมีลูกชาย 1 คน เรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 6 ต้องมาอาศัยอยู่กับยาย วัย 83 ปี ยายต้องไปรับจ้างตากข้าว ได้เงินวันละ 100 กว่าบาท เอามาใช้จ่ายให้หลานไปโรงเรียน หลังจากนี้ ไม่รู้ว่าหลานจะได้เรียนหนังสือต่อหรือไม่

นางรดาวัลย์ เล่าต่อว่า ได้ติดต่อเพจดังเพจหนึ่ง อยู่ในจังหวัดนนทบุรี ทางเพจอ้างว่า สถานที่จะให้ไปช่วยอยู่ไกล ต้องมีค่าใช้จ่าย 10,000 บาท เดี๋ยวจะพานักข่าวหลายสำนักลงพื้นที่ไปช่วย จึงไปกู้เงินมาให้ แต่พอเพจดังกล่าวเดินทางมาถึง มาเพียงแค่ 2 คน ไม่มีนักข่าวมา และพาตนเข้าไปคุยกับผู้กำกับการ จากนั้นก็เดินทางกลับ ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย พอติดต่อสอบถามก็บอกให้หาทนายอาสาเอง

ทีมข่าวเดินที่ไป สภ.ชุมแสง พันตำรวจเอก สมศักดิ์ เขียวอ่อน ผกก.สภ.ชุมแสง ชี้แจงว่า แจ้งข้อกล่าวหาทั้งคู่ว่าประมาณร่วม ข้อหาขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย และข้อหาขับรถในทางเดินรถ ขณะเมาสุรา แต่ผู้ตายตำรวจสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากเสียชีวิตไปแล้ว ตอนนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำสำนวนส่งให้อัยการและศาล จากการสอบถามคนชน สารภาพทุกข้อกล่าวหา และยอมรับว่าเมาแล้วขับจริง แต่ยังมีข้อถกเถียงเรื่องค่าสินไหม ทำให้ต้องรอคำสั่งศาล ที่จะตัดสินในวันที่ 27 พฤศจิกายน นี้ ขอยืนยันว่าไม่ได้ช่วยเหลือใคร

ต่อมา ทีมข่าวได้โทรศัพท์คุยกับพยานที่เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ขับรถนำหน้าผู้ตายมา ขับห่างประมาณ 10 เมตร ใช้ความเร็วประมาณ 40-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะกลัวน้ำมันหมด ตนคอยหันดูตลอดเวลา กระทั่งขับมาได้ประมาณ 2 กิโลเมตร มีรถเบนซ์ขับสวนด้วยความเร็ว จากนั้นก็ได้ยินเสียงรถชน จึงหันไปดู พบรถผู้ตายถูกชน ส่วนรถเบนซ์ประคองรถจอดไหล่ทาง จากนั้นมีคนลงมาจากรถเบนซ์ 5 คน และมีการแจ้งกู้ภัย ตำรวจมายังที่เกิดเหตุ สภาพศพผู้ตายพบว่า นอนเสียชีวิตอยู่บริเวณเส้นเหลืองแบ่งกลางถนน ตนไม่ทราบว่าชนกันลักษณะใด แต่ได้ยินเสียง เพราะมันมืด ไม่มีไฟทาง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง