มาดามอ้อย เดินหน้าสุดซอยเอาผิด ทนายตั้ม

View icon 48
วันที่ 21 พ.ย. 2567
เช้านี้ที่หมอชิต
แชร์
เช้านี้ที่หมอชิต - "มาดามอ้อย" เข้าให้ปากคำเก็บตกประเด็นกับตำรวจเพิ่มเติม ชี้แจงประเด็นเรื่องพินัยกรรมเกี่ยวข้องกับคดีใดหรือไม่ ขณะที่ "ทนายสายหยุด" ยืนยันพินัยกรรมที่ "ทนายตั้ม" เคยทำให้ "มาดามอ้อย" ก่อนหน้านี้ เป็นโมฆะ

มาดามอ้อย เดินหน้าสุดซอยเอาผิด ทนายตั้ม
ในการเข้าให้ปากคำของ นางสาวจตุพร อุบลเลิศ หรือ มาดามอ้อย พร้อมผู้ติดตามอีก 3 คน ที่กองบังคับการปราบปราม ใช้เวลานานกว่า 12 ชั่วโมง จนถึงเวลา 22.30 น. มาดามอ้อย ก็เดินทางกลับ โดยบอกกับสื่อมวลชนเพียงว่า จะเดินหน้าสุดซอย ไม่เจรจากับทนายตั้ม ให้รอฟังคำพิพากษาและจะเดินทางกลับฝรั่งเศสวันนี้ (21 พ.ย.)

เรียก มาดามอ้อย สอบปากคำเพิ่มคดี ทนายตั้ม
ขณะที่ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ระบุถึงการเชิญ มาดามอ้อย มาสอบปากคำ ว่า ต้องการให้ตรวจสอบคำให้การก่อนหน้านี้ เพื่อให้สำนวนการสอบสวนครบถ้วนสมบูรณ์ ส่วนประเด็นพินัยกรรม เป็นเพียงการสอบถามเพิ่มเติมว่าเกี่ยวข้องกับคดีในส่วนใดหรือไม่

สนธิ รับมอบอำนาจดำเนินการ ทนายตั้ม
ขณะที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล นักข่าวอาวุโส เปิดเผยผ่านรายการ "สนธิเล่าเรื่อง" ยืนยันว่า มาดามอ้อย มอบอำนาจให้ตนเองเป็นคนตัดสินใจเรื่องการดำเนินคดีกับ ทนายตั้ม จึงประกาศที่จะดำเนินคดีไปจนถึงที่สุด

แฉแผน ทนายตั้ม หวังเป็นผู้จัดการมรดก
เรื่องของ ทนายตั้ม มีเตรียมและทำเป็นขบวนการฉ้อโกง ด้วยวิธีการเขียนพินัยกรรมให้ มาดามอ้อย ระหว่างฉบับแรก ทำวันที่ 9 เมษายน 2565 และ ฉบับที่ 2 ทำวันที่ 7 สิงหาคม 2566 ทั้ง 2 ฉบับ มีเนื้อหา 7 ข้อ ความยาว 2 หน้า
 
โดยเนื้อหาในพินัยกรรมภาพรวมไม่แตกต่างกับฉบับแรก คือ ให้สินทรัพย์กับลูกชายที่อยู่ต่างประเทศ แต่ในฉบับที่ 2 มีข้อส่อพิรุธ 3 ข้อ คือ 1. มีการตั้งให้ ทนายตั้ม เป็นผู้จัดการมรดก โดยพลการ 2. สัญญาที่ ทนายตั้ม ทำขึ้น จงใจให้มีช่องโหว่ โดยให้คู่สัญญาเซ็นกำกับเฉพาะหน้าสุดท้ายของสัญญา ต่างกับสัญญาทั่วไปที่คู่สัญญาจะเซ็นกำกับทุกหน้ากระดาษ และ 3. การประวิงเวลาการขอหนังสือคู่ฉบับ โดย ทนายตั้ม อ้างว่า ได้ส่งไฟล์พินัยกรรมนำไปแปลเป็นภาษาฝรั่งเศส และพินัยกรรมก่อนหน้านี้ที่เคยจัดทำ ก็อ้างว่าได้เพิกถอนและทำลายไปแล้ว

ซึ่ง นายสนธิ มองว่า เอกสารเหล่านี้ถ้าขึ้นศาลเมื่อไหร่เชื่อว่าน็อกคาศาลแน่ พร้อมยังตั้งข้อสังเกตกรณีทนายพยายามเจรจาคืนเงิน 130 ล้านบาท แลกกับการถอนฟ้อง จะไปนำเงินจากไหนมาคืน เพราะมีอาชีพเป็นเพียงทนายความเท่านั้น

ยังมีประเด็นไฮไลต์เงิน 39 ล้านบาท ที่มีตัวละครเพิ่ม คือ "นุ" และ "สา" ซึ่งขณะนี้ก็อยู่ในคุก โดย นายสนธิ ก็เผยด้วยว่า เรื่องที่ทั้งสองอ้างว่าโอนเงินคริปโตฯ ให้ เฉินคุณ 7 ครั้ง และถูกยึดบัญชีคริปโตฯ ไปนั้น ตำรวจไปสืบมาแล้วพบไม่เป็นความจริง

รวมทั้งยังบอกด้วยว่า การไปเบิกเงิน 39 ล้านบาท จากธนาคาร มีการใช้รถยนต์ 2 คัน ของ ทนายตั้ม ซึ่งนำมาจอดคู่กัน โดยที่ ทนายตั้ม โทร.สั่งการจากต่างประเทศ

สนธิ จ่อยื่นสอบมรรยาท ทนายตั้ม-ทนายเดชา
วันนี้ (21 พ.ย.) นายสนธิ บอกว่า จะควง นายปานเทพ ไปสภาทนายความฯ ยื่นหนังสือโดยตรง กรณีของ ทนายตั้ม และ ทนายเดชา ที่ทำผิดมรรยาททนายความด้วย

ทนายสายหยุด สงวนท่าที สนธิ เดินหน้าสุดซอยเอาผิดทนายตั้ม 
ด้าน ทนายสายหยุด ทนายความของ "ทนายตั้ม" ยอมรับว่า ยังไม่ได้ฟังคลิปไลฟ์สดดังกล่าว จึงไม่สามารถแสดงความคิดเห็นใด ๆ ได้ พร้อมกับยืนยันว่า การทำพินัยกรรมฉบับที่ 3 ทำให้พินัยกรรม 2 ฉบับแรก ที่ร่างโดย ทนายตั้ม เป็นโมฆะ ไม่สามารถนำมาใช้บังคับทางกฎหมายได้

ครูปรีชา เป็นพยานคดีทนายตั้มฟ้องเพจ ออยศรี 
นอกจากนี้ ยังมีคดีข้องเกี่ยวกับ ทนายตั้ม อีก เมื่อ นายปรีชา ใคร่ครวญ หรือ ครูปรีชา มาที่ศาลอาญารัชดา เพื่อเป็นพยาน กรณี เพจออยศรีและผองเผือก ถูก ทนายตั้ม ฟ้องร้อง ข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จากการนำคลิปสนทนาระหว่าง ทนายตั้ม กับ ครูปรีชา ในคดีสลาก 30 ล้านอลเวง มาโพสต์ลงในเพจ และระบุว่า นายษิทรา เคยปลอมตัวไปคุยกับครูปรีชา ซึ่ง ครูปรีชา ก็ยืนยันว่า ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง

ด้าน ออยศรีและผองเผือก บอกว่า ตนได้รับความเมตตาจากครูปรีชามาช่วยเป็นพยาน และมายืนยันข้อเท็จจริง หลังจากนี้ก็จะอยู่ในกระบวนการรอคำพิพากษาเท่านั้น