เสี่ยเจ้าของโรงเรียนกวดวิชา ถูกสาวนักศึกษาพยาบาลหลอกแต่งงาน โอนสินสอดล่วงหน้า สูญเงินหลายแสนไม่ได้แต่งงาน

View icon 1.7K
วันที่ 20 พ.ย. 2567
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
วันนี้ (20 พ.ย. 67) นายเอก (นามสมมุติ) อายุ 59 ปี เจ้าของสถาบันกวดวิชาแห่งหนึ่ง เข้าร้องขอความช่วยเหลือจากเพจสายไหมต้องรอด หลังถูกหญิงสาวที่เจอกันทางแอปพลิเคชันหาคู่ในเฟซบุ๊กหลอกให้รัก หลอกให้ซื้อโทรศัพท์ให้ หลอกให้โอนเงินให้เป็นค่าสินสอดล่วงหน้า โดยอ้างว่าจะแต่งงานด้วย หลังได้เงินไปกลับไม่ยอมแต่งงานด้วย พอทวงเงินคืนก็บอกไม่ให้คืน ซึ่งสูญเงินไปหลายแสนบาท แต่ไม่ได้แต่งงาน

นายเอก บอกว่า เมื่อช่วงเดือน ธ.ค. 66 ผู้หญิงคนนี้ที่ชื่อฝน ได้เข้ามากดไลก์รูปตนในแอปฯหาคู่ในเฟซบุ๊ก หลายรูป และได้ส่งข้อความมาบอกชอบตน ต่อมาหวันที่ 14 ก.พ. 67 ได้นัดเจอกันกับ น.ส.ฝน อายุ 23 ปี จากนั้นได้พูดคุยจนสนิทกัน ซึ่งน้องฝนได้บอกว่าแนะนำตัวว่าเป็นนักเรียนพยาบาลแห่งหนึ่ง อยู่ชั้นปีที่ 3 ตนกับน้องฝนจึงได้คบหาเป็นแฟนกัน และน้องฝนได้มาหาที่บ้านตนประจำ และตนได้พาน้องฝนไปเที่ยวต่างจังหวัดอยู่บ่อยครั้ง แถมยังซื้อโทรศัพท์ไอโฟนให้ ต่อมาเมื่อวันที่ 29 เม.ย. 67 น้องฝนได้ชวนตนเองไปที่บ้านของเขาที่ จ.สุรินทร์ เพื่อไปหาญาติของเขา พอเจอญาติเขา ทางญาติได้ถามตนว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับน้องฝนหรือยัง ตนตอบไปว่ามีแล้ว ทางญาติเขาจึงบังคับให้ตนแต่งงานกับน้องฝน เพราะน้องฝนเสียผีไปแล้ว

จากนั้นได้มีการตกลงที่จะแต่งงานกันในวันที่ 14 ก.ค. 67 โดยขอสินสอดเป็นเงิน 500,000 บาท แต่ขอให้ตนโอนเงินจำนวน 372,000 ให้ก่อน อ้างว่าเพื่อชำระหนี้ทุนเรียนพยาบาล แล้วส่วนที่เหลือ 128,000 บาท ค่อยเอามาให้ในวันแต่งงาน ตนจึงยอมตกลง และได้โอนเงินไปเข้าบัญชีโรงเรียนพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งไป จากนั้นตนกับน้องฝนได้กลับมาใช้ชีวิตคู่กันอยู่ที่กรุงเทพฯ โดยมาอยู่ที่บ้านตน ตนจึงพาไปเช่าชุดงานแต่งงาน ต่อมาตนได้ไปพบพฤติกรรมของน้องฝน ที่ชอบใส่ชุดโป๊แบบคอสเพลย์ และชอบคุยกับผู้ชายคนอื่น ตนจึงเอาเรื่องนี้ไปคุยกับญาติเขา ทำให้น้องฝนไม่พอใจเรา

กระทั่งวันที่ 10 มิ.ย. 67 ฝ่ายหญิงได้แจ้งว่าไม่สามารถแต่งงานกับตนได้แล้ว และได้บอกเลิกตน ซึ่งตนได้พยายามยื้อเธอไว้ แต่เธอยืนยันว่าจะเลิก ตนจึงเชื่อได้ว่าฝ่ายหญิงน่าจะว่างแผนมาหลอกตน เพื่อต้องการเงิน เพราะตลอดเวลาที่คบกันตนเป็นฝ่ายดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมด ตนจึงขอเงินค่าสินสอดที่ฝ่ายหญิงให้โอนให้ก่อน372,000 บาทคืน แต่ฝ่ายหญิงไม่คืนให้ พร้อมบอกว่า “โอนไปให้ใคร ก็ไปเอาคืนกับหน่วยงานนั้นเอง” ตนจึงเดินทางไปยังสถาบันการพยาบาลที่ฝ่ายหญิงเรียนอยู่ ขอเงินก้อนนี้คืน แต่ทางสถาบันกลับไม่คืนให้  โดยบอกให้ไปพูดคุยกับฝ่ายหญิง จากนั้นวันที่ 12 มิ.ย. 67 ตนได้เดินทางไปแจ้งความที่ สน.ทุ่งครุ เพื่อเอาผิดกลับฝ่ายหญิงในข้อหาฉ้อโกง แต่คดีกลับไม่คืบหน้า ตนจึงมาร้องเพจสายไหมต้องรอให้ช่วยเป็นกระบอกเสียง