รวบแล้ว 4 คน แก๊งโจ๋ตีหัวหนุ่มเสียชีวิต

View icon 69
วันที่ 15 พ.ย. 2567
ข่าวเย็นประเด็นร้อน
แชร์
ข่าวเย็นประเด็นร้อน - จากกรณีที่ป้าออกมาร้องขอความเป็นธรรมว่า หลานชายอายุ 16 ปี ถูกวัยรุ่นต่างหมู่บ้านใช้ท่อนเหล็กตีศีรษะเสียชีวิต แต่ตำรวจแจ้งให้ลงเป็นอุบัติเหตุเอาไว้ก่อน ล่าสุด ตำรวจจับตัววัยรุ่นที่ก่อเหตุได้แล้ว 4 คน และมีการเปิดเผยคลิปเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ

คลิปเหตุการณ์ขณะที่กลุ่มวัยรุ่นรุมทำร้าย ใช้ไม้ตีหัว นายท็อป อายุ 16 ปี ที่ขี่รถจักรยานยนต์โดยมีเพื่อนอีกคนซ้อนท้าย กำลังจะไปพบหญิงที่นัดหมายทางเฟซบุ๊ก จนทำให้ นายท็อป เสียชีวิต เหตุเกิดบริเวณสามแยกข้างโรงพยาบาลห้วยราช ถนนสายห้วยราช-สตึก ตำบลห้วยราชา อำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 01.00 น. ของวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567

ล่าสุด วันนี้ (15 พ.ย.) ชุดสืบสวน สภ.ห้วยราช ตามจับกุมผู้ก่อเหตุ รวม 4 คน มาสอบสวน เป็นวัยรุ่นชายอายุตั้งแต่ 18-21 ปี หลังสอบสวนแล้วพบว่า ทั้ง 4 คน ได้ร่วมกันกับเพื่อนอีก 13 คน รวมทั้งหมด 17 คน ทำร้าย นายท็อป จนเสียชีวิต และ นายเพียว ซึ่งขี่รถมาด้วยกันบาดเจ็บ

เบื้องต้น นายแฟ้ม หนึ่งใน 4 คน ที่ถูกจับกุม ให้การรับสารภาพว่า เป็นคนก่อเหตุใช้ไม้ไผ่ทำร้ายนายท็อปจริง แต่ไม่ได้ตี เป็นการขว้างใส่เท่านั้น ไม่คิดว่าจะเสียชีวิต สาเหตุมาจากแฟนสาวมาเล่าให้ฟังว่า เคยถูกนายเพียว เพื่อนนายท็อปที่เสียชีวิตรังแก จึงให้แฟนสาวเป็นนางนกต่อโทรให้ออกมา แล้วทำร้ายดังกล่าว

แต่ตำรวจชุดสืบสวนได้คลิปภาพระหว่างการก่อเหตุ จึงไม่ปักใจเชื่อว่า นายพันกร ขว้างไม้ใส่ แต่เป็นการจงใจร่วมกันรุมทำร้าย จนทำให้ นายท็อป เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

ระหว่างตำรวจควบคุมตัวอยู่ในห้องขัง ได้มี นางสาวปราณี เงินรัตน์ อายุ 40 ปี ป้านายท็อปที่เสียชีวิต ได้มาต่อว่าผู้ก่อเหตุถึงหน้าห้องขังว่า เป็นการกระทำรุนแรงเกินไปทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และไม่ใช่คู่กรณีของกลุ่มวัยรุ่น

นางสาวปราณี บอกว่า ตอนนี้รู้สึกสบายใจขึ้นที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้อย่างรวดเร็ว ยอมรับว่า ก่อนหน้านี้เข้าใจผิดคิดว่าตำรวจจะเปลี่ยนประเด็นเป็นอุบัติเหตุ ทำให้หลานตัวเองตายฟรี พอมาทราบว่าเป็นขั้นตอนของตำรวจเพื่อให้คนก่อเหตุตายใจก่อน จึงเข้าใจ

หลังจากนี้ ตำรวจจะเร่งติดตามตัวกลุ่มวัยรุ่นที่ร่วมก่อเหตุอีก 13 คน มาดำเนินคดี เบื้องต้น ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหากระทำความผิดฐาน "ร่วมกันทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย และอันตรายแก่กาย"