บุกรวบคู่รักนักบาปอ้างเป็นกรรมการวัดตุ๋นสายบุญโอนเงิน

View icon 95
วันที่ 7 พ.ย. 2567
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
ตำรวจไซเบอร์รวบคู่รักนักบาป โพสต์ขอรับบริจาค อ้างเป็นคณะกรรมการวัดดัง ตุ๋นสายบุญโอนเงินกว่า 2 แสน ซ่อมแซมวิหารหลวง ที่วัดดังเชียงราย หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้

วันนี้ ( 7 พ.ย.67) สืบเนื่องจากได้มีกลุ่มคนร้าย แอบอ้างเป็นคณะกรรมการวัดแสงแก้วโพธิญาณ โดยได้โพสต์ข้อความเชิญชวนผ่านเฟชบุ๊ก ให้ร่วมบริจาคเงินบูรณะซ่อมแซมวิหารหลวงลายคำ วัดแสงแก้วโพธิญาณ จ.เชียงราย ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้ เมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา จนมีผู้หลงเชื่อเป็นจำนวนมาก  พล.ต.ต.จิระวัฒน์ พยุงธรรม รอง ผบช.สอท. รรท.ผบช.สอท. จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.จิตติพนธ์ ผลพฤกษา ผบก.สอท.4 ส่งชุดสืบสวน กก.4 บก.สอท.4 ลงพื้นที่สืบสวนหาตัวผู้กระทำผิด โดยสืบสวนจากบัญชีปลายทางที่รับโอนเงิน ทำการแกะรอยจนพบการกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มตามละแวกต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดพิจิตร และ จ.นครสวรรค์ จนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอศาลออกหมายจับได้สำเร็จ

ต่อมาตำรวจไซเบอร์ ได้นำกำลังจับกุม น.ส.พัณณิตา อายุ 21 ปี ชาว จ.นครสวรรค์ และนายนันทภพ อายุ 25 ปี ชาว จ.พิจิตร ตามหมายจับศาลจังหวัดเชียงราย ในความผิดฐาน”ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น และโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” โดยจับกุมได้ที่บ้านพักใน อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์

จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ทั้ง 2 คนเป็นแฟนกัน โดยได้ร่วมกันก่อเหตุจริงโดยนำเงินที่ได้ไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และหากมีผู้เสียหายรู้ตัวว่าถูกหลอกก็ปิดเพจหนี และเปิดเพจใหม่

นอกจากนี้ จากแนวทางสืบสวนยังพบว่า มีการเปิดบัญชี เฟชบุ๊กโพสต์ประกาศรับบริจาคในกลุ่มเฟชบุ๊กชื่อกลุ่ม “กลุ่มข่าวคนโคราชบ้านเอ็ง” โดยอ้างว่าเปิดรับบริจาคให้ ด.ช.วัย 3 ปีซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็ง และขอรับบริจาคช่วยพระที่นอนอาพาธในโรงพยาบาลโดยใช้บัญชีธนาคาร น.ส.พัณณิตา ในการรับบริจาคเช่นเดิม ทั้งนี้ พบยอดเงินหมุนเวียนจากทำแต่ละครั้งอยู่ประมาณหลักหมื่นบาท เสียหายรวมมากกว่า 2 แสนบาท

จากนั้นตำรวจชุดจับกุม ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ไปยังวัดแสงแก้วโพธิญาณ จ.เชียงราย เพื่อขอขมากรรมกับครูบาอริยชาติ ก่อนจะนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป