พี่อ้อย ลั่นสายไปแล้ว ต่อให้กราบเท้าก็ไม่ให้อภัย

View icon 69
วันที่ 30 ต.ค. 2567
ข่าวเย็นประเด็นร้อน
แชร์
ข่าวเย็นประเด็นร้อน - สนธิ ลิ้มทองกุล ปล่อยคลิปสัมภาษณ์เปิดใจ พี่อ้อย นักธุรกิจที่แจ้งความคดีฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท กับ ทนายตั้ม โดยถามว่า ถ้า ทนายตั้ม มากราบเท้าขอขมาพี่อ้อยจะยอมใจอ่อนหรือไม่ ไปฟังคำตอบจากปากของ พี่อ้อย กัน

พี่อ้อย ลั่นสายไปแล้ว ต่อให้กราบเท้าก็ไม่ให้อภัย
ในคลิปนายสนธิ ลิ้มทองกุล สอบถามว่า ถ้าทนายตั้มกราบเท้าขอขมาพี่อ้อยจะยอมใจอ่อนหรือไม่ "พี่อ้อย" ตอบว่า "สายไปแล้ว ไม่มีทางแล้ว" วันนี้เวลา 10.30 น. เพจเฟซบุ๊ก "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ได้เผยแพร่คลิปเปิดใจ "พี่อ้อย" นักธุรกิจที่แจ้งความเอาผิดนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ คดีฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท

นายสนธิ ยังชี้แจงยืนยันว่า ไม่มีการรับเงินจากคุณอ้อยมาจัดการกับทนายตั้ม มีเพียงไวน์ 1 ขวด ราคาในไทยเกือบแสนบาท และช็อกโกแลต 1 ถุงเท่านั้น ยืนยันว่า ไม่มีวันจะขอเงินคุณอ้อย ถ้าผิดคำพูดขอให้พินาศฉิบหาย และก่อนหน้านี้ ไม่เคยรู้จักคุณอ้อยมาก่อน แต่หลังจากแจ้งความ ทนายของคุณอ้อยมาปรึกษาตน จากนั้นคุณอ้อยก็แวะมาหาตนที่บ้านพระอาทิตย์ ขณะที่ คุณอ้อย ยืนยันว่า การมาพบนายสนธิ ไม่มีใครบอกให้มา แต่มาด้วยความประสงค์ของตัวเอง แต่นายสนธิไม่เคยรีดไถเงินอะไร แถมยังใจดีมาก

สนธิ จ่อร้องถอด ทนายตั้ม พ้นทนาย-จี้สอบหนีภาษี
นายสนธิ บอกว่า หลังจากนี้จะเดินสุดซอย ในสัปดาห์หน้าจะไปร้องเรียนสภาทนายความ เพื่อให้ถอดทนายตั้มออกจากการเป็นทนายความ เพราะผิดจริยธรรม หลังจากนั้นจะไปร้องเรียนกรมสรรพากร เรื่องหนีภาษี และยังรู้ว่า เบื้องหลังยังมีขบวนการฟอกเงินอยู่ ขณะนี้เวรกรรมกำลังตามคุณอยู่

รู้จัก เจ๊อ้อย ถูกรางวัลรวยกว่า 5,700 ล้านบาท
"พี่อ้อย" หรือ "เจ๊อ้อย" ชื่อจริงคือ นางสาวจตุพร อุบลเลิศ พื้นเพเป็นคนจังหวัดนครราชสีมา มีสามีชาวฝรั่งเศส และอาศัยอยู่ที่ฝรั่งเศส เคยถูกรางวัล EuroMillions My Million เมื่อปี 2020 กว่า 157 ล้านยูโร หรือ กว่า 5,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นการถูกรางวัลครั้งใหญ่ ติดท็อป 3 ที่ได้เงินมากสุดในประวัติศาสตร์ หลังถูกรางวัล พี่อ้อย เดินทางกลับไทย พร้อมสามีบ่อยครั้ง มักมาทำบุญ บริจาคเงินและสิ่งของต่าง ๆ โดยเฉพาะช่วงโควิด-19

โดยเมื่อวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา เพจเฟซบุ๊กของโรงเรียนวัดขนงพระเหนือตำบลขนงพระ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ได้โพสต์ภาพให้การต้อนรับ คุณอ้อย และ นายเดวิส ที่เดินทางมามอบสนามบาสเกตบอล และสนามเด็กเล่นอนุบาล ให้โรงเรียนอีกด้วย

ก่อนหน้านี้เคยเป็นข่าวดังเมื่อปี 2566 เจ๊อ้อยเคยเป็นข่าวดัง เมื่อช่วงเดือนเมษายน ปี 2566 เมื่อนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ออกมาแฉคลิปขณะที่ตำรวจท่องเที่ยว 2 นาย ช่วยยกกระเป๋าเดินทางให้กับหญิงคนสนิท ที่เดินทางมากับทนายตั้มที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งหญิงในคลิปดังกล่าว ก็คือ "เจ๊อ้อย"

ทนายรณณรงค์ ลั่นไม่มีใครเชื่อให้เงินโดยเสน่หา
ขณะที่ ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ที่เคยร่วมกับทนายตั้ม พาผู้เสียหายของบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป ไปแจ้งความดำเนินคดี ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้ไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊ก ยอมรับว่า ส่วนตัวอึ้งเหมือนกันเกี่ยวกับข่าวทนายตั้ม ว่า รีดไถคนโน้นคนนี้ ทุกวันนี้เหมือนมีเขาบนหัว บางครั้งก็สงสัยว่า ทำไมเพื่อนรวยจัง ก็คิดว่า ค่าจ้างแพงอาจรวยได้ แต่เรื่องการให้เงินเป็นร้อยล้านบาท ไม่มีใครเชื่อหรอกว่า เป็นการให้โดยเสน่หา

ส่วนกรณี นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอดที่พาพยานมา ตนก็ไม่รู้เรื่องว่า หาพยานมาจากไหน และทนายในกลุ่มก็ยังคุยกันว่า ทำไมวันนั้น รู้สึกทนายตั้มดูกระตืนรือร้นผิดปกติ และยังพูดคุยกับทนายจิตอาสาด้วยกันว่า ถ้ารวยแล้วต้องเจอคนด่าสาปแช่งอย่างนี้อยู่แบบจน ๆ ดีกว่า ยืนยันว่า ตนไม่รู้เรื่องอะไรเลย แค่อยากช่วยคนที่เดือดร้อน

ลุงพล น้ำตาคลอ แฉถูกเรียกค่าคดี 3 ล้านบาท
คนที่ออกมาแฉนอกจาก เจ๊อ้อย หนึ่ง บางปู และแซน แล้ว ยังไม่หยุดแค่นี้ เพราะยังมีนายไชยพล วิภา หรือ ลุงพล กับ นางสาวสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น ออกมาแฉว่า ทนายคนดังที่เข้ามาดูแลเรื่องคดีความน้องชมพู่ขณะนั้น ได้ตกลงกันเองกับแฟนคลับ ราคาว่าความประมาณ 3 ล้านบาท ต่อมาเจรจาขอลดลงเหลือ 2 ล้านบาท แต่ไม่นานหลังจากนั้น จู่ ๆ ทนายคนดังก็ขอยุติบทบาทลง ให้เหตุผลว่า ไปได้ยินยูทูปเบอร์ไลฟ์ประมาณว่า เจองูกับทนายให้ตีทนายก่อน จากนั้นก็ต่างคนต่างเดิน

ช่วงหนึ่งลุงพลถึงกับน้ำตาคลอ พูดระบายความในใจว่า ทนายคนดังเคยแนะนำตนให้ไปเรียนนิติศาสตร์ และยังพูดฝากมาถึงตนผ่านสื่อว่า เรียนเนอย่าไปเนรคุณใคร จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เห็นแล้วว่าคำพูดนี้กลับย้อนไปหาเขา ซึ่งเคยดูถูกตนเอาไว้

มรสุมรุมเล่นงานทนายตั้ม
เรียกว่า ตอนนี้มรสุมรุมเร้าทนายตั้ม เพราะมีหลายคนออกมาร้องเรียน รุมแฉข้อมูลต่าง ๆ นอกจากลุงพล ที่แฉว่า เรียกค่าว่าความ 3 ล้านบาทแล้ว ก่อนหน้านี้ ยังมี "หนึ่ง บางปู" เรียกเงินค่าทำคดีฟ้องหย่าอดีตสามี 10 ล้านบาท ทนายบอสพอล แฉว่ารีดเงิน 7 ล้านบาท เพื่อแลกกับการจะไม่นำผู้เสียหายไปแจ้งความดำเนินคดีกับดิไอคอน และยังมี "ไฮโซปอ และแซน วิศาพัช" ที่ออกมาแฉว่า ทนายคนดังแนะแนวทางสู้คดี"แตงโม"ในทางที่ผิด

ส่วนเจ๊อ้อย ที่ออกมาแจ้งความว่า ถูกหลอกลงทุนแพลตฟอร์มสลากฯ ออนไลน์ 71 ล้านบาทแล้ว ยังมีส่วนต่างรถเบนซ์ 4 ล้านบาท ราคาจริง 9 ล้านบาท แต่กลับบอกว่า ราคา 13 ล้านบาท หลอกขอเงินช่วยใช้หนี้ให้คนใกล้ชิด 39 ล้านบาท จ้างเป็นที่ปรึกษาเดือนละ 300,000 บาท เป็นเวลา 1 ปี รวม 3,600,000 บาท แต่ไม่มีการดำเนินการอะไร

นอกจากนี้ยังมีค่าจ้างจัดการดูแลและออกแบบการสร้างโรงแรมในอำเภอปากช่อง 9 ล้านบาท แต่ไม่ได้สร้าง รวมทั้งค่าออกแบบบ้านพักของสามีเจ๊อ้อยอีก 3 ล้านบาทอีกด้วย แต่ก็ไม่ได้สร้างเช่นกัน รวมมูลค่าเงินทั้งหมดที่เจ๊อ้อยให้กับทนายตั้มประมาณ 129.6 ล้านบาท

นายกสภาทนายความ เร่งสอบมรรยาททนายหิวแสง
ขณะที่ นายวิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ เปิดเผยถึงการพิจารณามรรยาททนายโซเชียล หรือ ทนายหิวแสง ว่า ได้ประสานความร่วมมือกับประธานกรรมการมรรยาท สภาทนายความ เพื่อตรวจสอบเอาผิดทนายความที่ประพฤติผิดมรรยาทอย่างจริงจัง และเร่งรัดพิจารณาคดีมรรยาทที่ทนายโซเชียลได้ละเมิดต่อข้อบังคับของสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ จนส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงขององค์กร

เบื้องต้นเป็นอำนาจหน้าที่ของกรรมการมรรยาทสภาทนายความ เมื่อพิจารณาคดีแล้วเสร็จ จึงจะส่งสำนวนคดีมรรยาทให้แก่นายกสภาทนายความ นำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสภาทนายความให้พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ประธานกรรมการมรรยาทจะแจ้งคำสั่งลงโทษนั้นไปยัง

สำนักงานศาลยุติธรรม และเนติบัณฑิตยสภา เพื่อทราบต่อไป สำหรับโทษที่จะลงแก่ทนายความที่ประพฤติผิดมรรยาททนายความนั้นมีอยู่ 3 ประการ คือ ภาคทัณฑ์, ห้ามการเป็นทนายความไม่เกิน 3 ปี และลบชื่อจากทะเบียนทนายความ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบข้อมูลคดีมรรยาทของทนายความโซเชียลคนดังหลายคน พบว่า ล้วนมีคดีมรรยาทติดตัวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการมรรยาท ซึ่งทนายความคนดังบางคนถูกร้องเป็นคดีมรรยาทมากกว่า 20 คดีแล้ว และทนายความคนดังหลายคนถูกพักใบอนุญาตให้เป็นทนายความ และบางคนถูกลบชื่อจากทะเบียนทนายความไปแล้ว

ทนายตั้ม แจงปม หนึ่ง บางปู ปมเรียกเงิน 10 ล้านบาท
ล่าสุด นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ชี้แจงผ่านกลุ่มไลน์ตอบโต้ กรณี หนึ่ง บางปู ทำคดีฟ้องหย่าสามีเก่า 10 ล้านบาท จนต้องไปกู้เงินมาจ่าย แต่คดีไม่คืบ ระบุว่า ย้อนกลับไปเมื่อเดือนเมษายน 2564 หนึ่ง บางปู ขอให้ช่วยเรื่องสามีที่เป็นตำรวจยึดโรงงานมูลค่า 100 ล้านบาท ทำให้ หนึ่ง บางปู ขาดรายได้จากการไลฟ์เดือนละ 30-70 ล้านบาท ตนตกลงทำคดีให้ คิดค่าทนายความ 10% หลังจากนั้นเจรจาอยู่หลายครั้ง กระทั่งสามีของหนึ่ง บางปู กลัวจะเป็นข่าวใหญ่ ยินยอมคืนทุกอย่างให้ หนึ่ง บางปู

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 หนึ่ง บางปู เรียกให้ไปรับค่าทนายความ ที่ จังหวัดระยอง จากนั้น วันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ตนและหนึ่ง บางปู เข้าไปที่โรงงาน เพื่อตรวจสอบว่า ทรัพย์สินยังอยู่ครบตามที่สามีตกลงหรือไม่ วันเดียวกัน หนึ่ง บางปู โพสต์ขอบคุณตนเองหน้าเฟซบุ๊ก หลังจากนั้น วันที่ 29 พฤษภาคม 2564 ตนและหนึ่ง บางปู ไปฉลองกันที่ทะเล ซึ่งตนยังถ่ายภาพเก็บไว้

หลังจากนั้น เกือบ 1 ปี ผ่านไป เดือนมิถุนายน 2565 หนึ่ง บางปู กลับไปแต่งงานกับสามีคนเดิม ต่อมามีข่าวว่า หนึ่ง บางปู เลิกกับสามี หลังจากนั้น หนึ่ง บางปู มาหาตนที่สำนักงาน จะให้ช่วยฟ้องแบ่งสมบัติกับสามีเก่า ตนจึงบอกว่า หากจะทำต้องจ่ายค่าทนายความใหม่ เพราะเรื่องเก่าจบไปแล้ว หลังจากนั้น หนึ่ง บางปู จึงโมโห และกลับไป

ล่าสุด ทนายตั้มยังโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "ใครใครก็ไม่รักผม ขนาดพัดลมยังส่ายหน้าเลย เฮ้อ…ชีวิต" โดยมีคนมาแสดงความเห็นให้กำลังใจจำนวนมาก หนึ่งในนั้น คือ ทนายรัชพล ศิริสาคร มาแสดงความเห็นใต้โพสต์ว่า "เนื้อหอมมาก ทำไมมีแต่คนคิดถึง 5555" ทำให้ทนายตั้ม คอมเมนต์ตอบว่า "นั่นสิพี่ แบ่ง ๆ ทัวร์ไปบ้าง" และมีคนมาคอมเมนต์ต่ออีกว่า "อันนี้คิดจะคืนเงินเขาไหมครับ ที่เขามาตามทวงขนาดนี้ หรือว่ายังคิดว่าเงินเสน่ห์หาอยู่ครับ" แต่ทนายตั้ม ยังไม่ได้เข้ามาตอบคอมเมนต์ดังกล่าวแต่อย่างใด

อ้างเจอ ทนายดัง ที่สถานทูต
ขณะที่เพจเฟซบุ๊กบิ๊กเกรียน ได้โพสต์ภาพชายใส่สูทคล้ายทนายตั้ม บอกว่า ​สายลับ บิ๊กเกรียน ส่งภาพมาจากสถานทูตแห่งหนึ่ง คล้าย​ๆต้ามมม คนที่ท้า ลุง สนธิ ดื่มฉี่ 71 แก้ว ไปนั่งรอ ขอวีซ่า เสียดาย ไม่ได้ระบุ วันเวลา

ขณะเดียวกัน มีคนไปคอมเมนต์ถามเรื่องนี้ในเฟซบุ๊ก ซึ่งทนายตั้มเข้ามาตอบว่า โอ๊ย อีกเพจนึงบอกเห็นผมนครพนม อีกเพจบอกไปสถานทูต