แพทองธาร เผย ครม.นิ่งแล้ว ทูลเกล้าฯ สัปดาห์นี้

View icon 80
วันที่ 2 ก.ย. 2567
ข่าวเย็นประเด็นร้อน
แชร์
ข่าวเย็นประเด็นร้อน - ​ นางสาวแพทองธาร เผยโผ ครม. นิ่งแล้ว คาดนำรายชื่อรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ในสัปดาห์นี้ พร้อมยืนยันไม่หวั่นคนจะยื่นเรื่องร้องเรียนคุณสมบัติของรัฐมนตรี

แพทองธาร เผย ครม.นิ่งแล้ว ทูลเกล้าฯ สัปดาห์นี้
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางเข้าอาคารชินวัตร 3 พร้อมกล่าวถึงความคืบหน้าในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี โดยระบุว่า การจัดตั้งคณะรัฐมนตรี เรียบร้อยแล้ว โผทุกอย่างนิ่งแล้ว จะพยายามนำขึ้นทูลเกล้าฯ ให้เร็วที่สุด คาดว่า น่าจะทูลเกล้าฯ ภายในสัปดาห์นี้ ส่วนรายชื่อรัฐมนตรีที่มีปัญหา ตอนนี้ตรวจสอบหมดแล้วตามระบบทั้งหมด พร้อมบอกว่าไม่กังวลเรื่องการร้องเรียนคุณสมบัติของรัฐมนตรีที่จะตามมาภายหลัง

ทั้งนี้มีรายงานว่า ก่อนที่ นางสาวแพทองธาร จะเดินทางเข้ามา นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าอาคารชินวัตร 3 แต่ได้เลี่ยงเข้าอาคารไปทางชั้นใต้ดิน ไม่เจอกับสื่อมวลชนที่รออยู่บริเวณด้านหน้าอาคาร

“ภูมิธรรม” คาด 15 ก.ย. ครม.เริ่มปฏิบัติหน้าที่
ด้าน นายภูมิธรรม​ เวชยชัย รองนายก​รัฐมนตรี ​ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาล​ แพทองธาร​ 1 ว่า ขณะนี้ใกล้แล้วเสร็จ​ คาดว่าจะไม่เกิน 15 กันยายน นี้​ ครม. น่าจะสามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่ได้ เนื่องจากทุกขั้นตอนจะดำเนินการให้แล้วเสร็จทุกกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นการนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ​ รวมไปถึงเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับตำแหน่ง และการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา

ส่วนการตรวจสอบคุณสมบัติ ขณะนี้รายชื่อว่าที่รัฐมนตรีถูกส่งกลับมายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี​แล้ว​ ไม่มีปัญหา และไม่น่าจะมีปัญหาและมีข้อกังวลอะไร เพราะทางคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดใหญ่ได้ตรวจสอบทั้งหมดแล้ว

ชูศักดิ์ ยันรายชื่อ รมต.บริสุทธิ์ ไม่มีใครถูกชี้มูล
นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการตรวจสอบคุณสมบัติรัฐมนตรีใหม่ว่า อะไรที่วิตกกังวลกัน ทั้งในเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ เรื่องจริยธรรมเหล่านี้จะต้องมีคำวินิจฉัยชี้ขาด และต้องได้รับการชี้ขาดจาก ป.ป.ช. แต่เข้าใจว่าขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น ส่วนตัวสันนิษฐานว่าเรื่องเหล่านี้ยังไม่สิ้นสุด และยังไม่ได้ข้อยุติ เรื่องของการแต่งตั้งรัฐมนตรียังไม่มีอะไร ให้ไปดูรายชื่อรัฐมนตรีที่เสนอมาแต่ละพรรค ยังไม่มีใครที่ทำผิดหรือถูกชี้มูล ส่วนตัวมองว่าตราบใดที่ยังไม่มีคำวินิจฉัยและคำพิพากษาว่าเขาผิด เราก็สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเขาบริสุทธิ์ ไม่อย่างนั้นประเทศจะเดินไม่ได้

สมชาย แฉ ครม.อุ๊งอิ๊งติดคดี 11 คน
แต่เรื่องคุณสมบัติรัฐมนตรี ยังมีหลายคนตั้งข้อสงสัย อย่าง นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า "ข่าวดี ครม.อิ๊ง 1 ตรวจละเอียดยิบ รัฐมนตรีต้องสุจริตเป็นที่ประจักษ์ ไม่ประพฤติผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง ข่าวลืออื้ออึงว่า ติดปมตั้ง 11 ทั้งคดีใน ป.ป.ช. อัยการ ศาล ฯลฯ จะกล้าลุยตั้งก่อน ไปตายเอาดาบหน้า? #นักการเมืองดีหายากนักหรือไง"

ทีมข่าวโทรศัพท์ไปสอบถาม นายสมชาย แล้วว่า รัฐมนตรีทั้ง 11 คนคือใคร แต่ นายสมชาย ไม่ได้บอกชื่อ บอกเพียงแค่ว่า "ได้ข่าวว่ามี 11 คน"

อดีต สว.ชี้ เพื่อไทย ชงชื่อ รมต.มีแผล ส่อไม่รอด
ขณะที่ นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า คำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญได้เปลี่ยนประเทศและการเมืองไทยไปแล้วและจะเปลี่ยนต่อไป เริ่มจากวันที่ 14 สิงหาคม 2567 นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะไม่สุจริต และฝ่าฝืนจริยธรรมในการเสนอบุคคลที่ไม่เหมาะสมให้ได้เป็นรัฐมนตรี ซึ่งความผิดดังกล่าวมีที่มาจากพรรคการเมืองและหัวหน้าพรรคเป็นผู้เสนอชื่อบุคคลท่านนี้ โดยหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค ก็ต้องรับผิดและรับชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ด้วย

คดีนี้ นายกรัฐมนตรี และพรรคที่เสนอชื่อบุคคลต้นเหตุ อาจจะไม่รอดเพราะเป็นความไม่สุจริตและฝ่าฝืนจริยธรรมเช่นเดียวกันกับนายกรัฐมนตรีเศรษฐาด้วย “เป็นเรื่องใหญ่ในการปรับเปลี่ยนการเมืองไทยจริง ๆ ครับ” ความหมายของนายดิเรกฤทธิ์ ก็คือ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย คือ แพทองธาร และพรรคเพื่อไทย ในฐานะเสนอชื่อ นายพิชิต ชื่นบาน ให้นายกฯ เศรษฐา ก็ต้องโดนเรื่องฝ่าฝืนจริยธรรมเหมือนกัน

สำหรับ นายสมชาย และ นายดิเรกฤทธิ์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ทั้ง 2 คนถือเป็น 2 ใน 40 สว. ที่ยื่นถอดถอน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จนสุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ นายเศรษฐา พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

แฉมีผู้อำนาจนอกรัฐบาล เรียกพบปลัด-ผบ.เหล่าทัพ
ขณะที่ นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก ระบุว่า "สำนึกในจริยธรรม มีข่าวว่าผู้มีอำนาจนอกรัฐบาลเรียกปลัดกระทรวงทุกกระทรวง และ ผบ. เหล่าทัพไปพบ และรู้มาว่า ผบ.เหล่าทัพไม่ได้ไปพบ อยากเตือนสติปลัดกระทรวง ทุกท่านเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่ขี้ข้านักการเมือง การรับคำสั่งใด ๆ ของข้าราชการต้องเป็นการสั่งการโดยชอบด้วยกฎหมาย และต้องเป็นการรับคำสั่งจากผู้มีอำนาจเท่านั้น ไม่ใช่สั่งการของนายหมูนายหมาที่ไม่มีตำแหน่งหน้าที่ ปลัดกระทรวงเป็นหัวแถวของข้าราชการ ไม่มีตำแหน่งอะไรที่ใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว ที่จะต้องก้มหัวให้ใครเพื่อขอตำแหน่ง"

อภิสิทธิ์ ชี้ เพื่อไทย ยังก้าวไม่พ้น ทักษิณ
ขณะเดียวกันวานนี้ (1 ก.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมามีบทบาทในประเทศอีกครั้งว่า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากวันที่ นายทักษิณ เคยเรืองอำนาจ จริง ๆ สังคมก็มองออกว่า นายทักษิณ มีบทบาทมาต่อเนื่อง แม้จะต่อสู้กับพรรคเพื่อไทยมาอย่างยาวนาน แต่ยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยมีความสำเร็จในบางเรื่อง เสียดายว่าไม่ได้ต่อยอดเอาตรงนั้นมาเป็นแกนในการขับเคลื่อนพรรค และยังไม่สามารถที่จะก้าวพ้นครอบครัวได้

ส่วนรัฐบาล นางสาวแพทองธาร จะอยู่ครบเทอมหรือไม่ เพราะตัวนายกรัฐมนตรีก็มีปัญหาเรื่องที่ดินอัลไพน์ นายอภิสิทธิ์ คิดว่า สภาฯ น่าจะอยู่ครบเทอม เพราะมองไม่เห็นว่าจะมีปัญหาในพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งไม่น่าจะมีพรรคไหนอยากจะเลือกตั้งเร็ว ส่วนจุดอ่อนของรัฐบาลชุดนี้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ปัญหาศรัทธาของประชาชนที่ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องความไม่ถูกต้อง.

สรวงศ์ โต้ อภิสิทธิ์ ก้าวให้พ้น ทักษิณ ก่อน
ฝั่งพรรคเพื่อไทย ออกมาตอบโต้ทันที นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ตอบโต้ นายอภิสิทธิ์ กรณีระบุว่า รัฐบาลเพื่อไทยก้าวไม่พ้นครอบครัวชินวัตรว่า คนที่พูดเองต้องก้าวให้ข้ามทักษิณก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏมาแล้วว่า เราทำตามระเบียบข้อบังคับพรรค ตามมติพรรคกรรมการบริหารพรรค ไม่มีใครทั้งสิ้นที่จะมาครอบงำพรรคเราได้ สิ่งที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ให้สัมภาษณ์ไปตอนที่ลงพื้นที่จังหวัดสุโขทัย ก็ฝากพี่น้องสื่อมวลชนด้วย พอดีบางข่าวที่ไม่ได้สำคัญก็ขออย่าไปตีข่าว ขอให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้

คะแนนนิยม ปชป.ร่วง หลังร่วมรัฐบาลเพื่อไทย
ส่วนผลกระทบจากการที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเทียบเชิญจากพรรคเพื่อไทยร่วมรัฐบาล สำนักวิจัย ซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง ความนิยมต่อประชาธิปัตย์ หลังเข้าร่วมรัฐบาลเพื่อไทย พบว่า คะแนนนิยมต่อพรรคประชาธิปัตย์เพิ่มขึ้นหรืออยู่ในแดนบวก เพียง 39.9% ในขณะที่คะแนนนิยมส่วนใหญ่ต่อพรรคประชาธิปัตย์ลดลงหรืออยู่ในแดนลบ ถึง 60.1% ส่วนคะแนนนิยมต่อพรรคเพื่อไทยกลับเพิ่มขึ้นหรืออยู่ในแดนบวก 80.4% ในขณะที่คะแนนนิยมต่อพรรคเพื่อไทยลดลงหรืออยู่ในแดนลบ 19.6%