โฆษกอัยการ แจงคดีถุงขนม จบที่ชั้นอธิบดีอัยการ “ชัยเกษม” ไม่เกี่ยวสั่งไม่ฟ้อง

View icon 114
วันที่ 15 ส.ค. 2567
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
“ประยุทธ โฆษกอัยการ” แจงคดีถุงขนม จบที่ชั้นอธิบดีอัยการ เห็นตามชั้นตำรวจสั่งไม่ฟ้อง เหตุขาดองค์ประกอบความผิด ส่วน “ชัยเกษม” ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี

วันนี้ (15 ส.ค.67) นายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด พร้อมด้วย นายนาเคนทร์ ทองไพรวัลย์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมแถลงข่าวกรณีที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องนายพิชิต ชื่นบาน กับพวก คดีถุงขนม เมื่อปี 2551ว่า ตามที่มีการนำเสนอข้อเท็จจริงว่านายชัยเกษม นิติสิริ อดีตอัยการสูงสุด เป็นผู้สั่งไม่ฟ้องนายพิชิตกับพวกรวม 3 คน นั้น งานโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ตรวจสอบสำนวนคดีดังกล่าวแล้วยืนยันว่าข่าวดังกล่าวคลาดเคลื่อน ไม่ถูกต้อง และไม่เป็นความจริง โดยนายชัยเกษม ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ในการสั่งคดีดังกล่าว

สำนวนคดีดังกล่าว เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.51 สำนักงานคดีอาญา โดยสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 ได้รับสำนวนพร้อมความเห็นเสนอสั่งไม่ฟ้อง จากพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม คดีกล่าวหานายพิชิต ที่ 1 น.ส.ศุภศรี ที่ 2 และ นายธนา ที่3 ข้อหาร่วมกันให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด แก่เจ้าพนักงาน เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.51 เวลาประมาณ 09.00 น. ในท้องที่แขวงพระบรมมหาราชวัง        เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยสำนวนดังกล่าว พนักงานสอบสวน เห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทุกคน โดยเห็นว่าผู้ต้องหา  ทั้งสาม ไม่ได้กระทำผิด ตามข้อกล่าวหา

เมื่อพนักงานอัยการได้รับสำนวนจากพนักงานสอบสวนแล้ว นายสมเจตน์ ชัยเฉลิมปรีชา อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 ได้ตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจพิจารณาสำนวน ประกอบด้วย นายยงยุทธ ศรีสัตยาชน อัยการจังหวัดประจำกรม และนายสมบูรณ์ ศุภอักษร อัยการอาวุโส เป็นคณะทำงาน โดยมีนายสมเจตน์ เป็นหัวหน้าคณะทำงาน ซึ่งคณะทำงานได้ตรวจสำนวนโดยละเอียดแล้วเห็นพ้องกับความเห็นของคณะพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม จากนั้นได้เสนอสำนวนพร้อมความเห็นต่อ ร.ต.ท.ธานี วุธยากร รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา เพื่อพิจารณาตามระเบียบและขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งร.ต.ท.ธานี พิจารณาแล้วมีความเห็นและเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสามตามเสนอ จากนั้นได้เสนอสำนวนให้นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา พิจารณา  ซึ่งนายกายสิทธิ์ ได้พิจารณาแล้วมีคำสั่ง เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.51 โดยมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสามตามความเห็นของพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการซึ่งเป็นคณะทำงาน และรองอธิบดีอัยการเสนอ

เมื่อนายกายสิทธิ์ มีคำสั่งไม่ฟ้อง ได้ส่งสำนวนพร้อมความเห็นทั้งหมดให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติพิจารณา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.ท.ชาตรี สุนทรศร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งเมื่อวันที่ 2 ก.ย.52 ไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องของอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา

จากข้อเท็จจริงดังกล่าว เมื่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้อง ถือว่าคำสั่งไม่ฟ้อง เสร็จเด็ดขาดตามขั้นตอนของกฎหมาย ดังนั้น การที่มีการนำเสนอข่าวว่า นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตอัยการสูงสุด เป็นคนสั่งไม่ฟ้องคดีดังกล่าว จึงไม่ถูกต้องและไม่เป็นความจริง

ด้านนายนาเคนทร์ กล่าวว่า สำหรับเหตุผลที่ทางพนักงานอัยการและพนักงานสอบสวนมีคำสั่งไม่ฟ้อง ก็มองว่าการกระทำของผู้ต้องหาขาดองค์ประกอบความผิด ในความผิดตามมาตรา 144 ของประมวลกฎหมายอาญา ฐานร่วมกันให้ ขอรับ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําการอันมิชอบด้วยหน้าที่ ทั้งนี้ เหตุผลหลัก ๆ ที่พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการพิจารณาสํานวนแล้วเห็นว่า กรณีที่เจ้าหน้าที่ตําแหน่งนิติกร 5 ประจําแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ได้รับถุงภายในบรรจุเงินไว้จํานวน 2 ล้าน แต่ปรากฏว่าหม่อมหลวงฐิติพงศ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดี

นอกจากนี้ ในทางสอบสวน เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวก็ให้การว่า นายธนาไม่ได้มีการพูดให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําการอันมิชอบด้วยหน้าที่ อีกทั้งไม่มีข้อเท็จจริงที่บอกว่าให้ไปประสานงานกับผู้พิพากษา บุคคลที่มีอำนาจในการพิจารณา เพราะฉะนั้นการกระทําของผู้ต้องหาทั้ง 3 คน โดยเฉพาะผู้ต้องหาที่ 3 คือนายธนา เป็นการกระทําที่ขาดองค์ประกอบความผิดในเรื่องของเจตนาพิเศษ คือมอบให้เพื่อให้ไปกระทําการประวิงเวลา กระทําการอันมิชอบด้วยหน้าที่ เมื่อนายธนาไม่มีความผิด นายพิชิต และผู้ต้องหาที่ 2 ซึ่งถูกตั้งข้อหาว่าร่วมกระทําความผิดด้วย จึงไม่มีความผิดเช่นกัน พนักงานอัยการ จึงสั่งไม่ฟ้อง

เมื่อถามว่า อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาสั่งไม่ฟ้อง นายพิชิตกับพวกในยุคอัยการสูงสุดคนใด นายประยุทธ กล่าวว่า เป็นช่วงที่นายชัยเกษมเป็นอัยการสูงสุด เเต่ในวันที่ พล.ต.ท.ชาตรี มีคำสั่งไม่เเย้ง เป็นช่วงของนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ เเต่ทั้งสองท่านไม่มีส่วนใด ๆ ในการสั่งคดี

นายประยุทธ กล่าวเสริมว่า นายพิชิตเป็นทนายความในคดีอาญาที่ฟ้องกันในศาลฎีกาฯ แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 เป็นเสมียนทนายความ และนายธนา ผู้ต้องหาที่ 3 เป็นผู้ประสานงานคดี คนที่นำเงินไปให้เจ้าหน้าที่ศาล คือ นายธนา ไม่มีข้อเท็จจริงจากพยานฝ่ายเจ้าหน้าที่ศาลว่า เงินให้เอาไปทำอะไร อย่างไร เเละไม่มีข้อเท็จจริงเรื่องความเชื่อมโยงกับผู้พิพากษาซึ่งทำหน้าที่ตัดสินคดีดังกล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง