ป.ป.ช. ยัน ไม่มีใบสั่ง 44 สส.อดีตพรรคก้าวไกล ลงชื่อ แก้ ม.112 ให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย

View icon 71
วันที่ 8 ส.ค. 2567
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
ป.ป.ช. ยัน ไม่มีใบสั่ง สอบจริยธรรม 44 สส.อดีตพรรคก้าวไกล ร่วมลงชื่อแก้ ม.112 ทุกอย่างขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง พร้อมให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย

วันนี้ (8 ส.ค.67) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช. เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพิจารณาคำร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ที่ขอให้ตรวจสอบจริยธรรมร้ายแรงกรณี 44 สส. ของอดีตพรรคก้าวไกล ร่วมลงชื่อแก้ไข มาตรา 112 ว่า ล่าสุดมีพยานหลักฐานเบื้องต้นตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติให้ไต่สวนทั้ง 44 คน ส่วนข้อเท็จจริงอยู่ระหว่างการไต่สวน ยังไม่ได้เรียกผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา เพราะอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม เมื่อถึงเวลาจะเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจง

โดยประเมินว่าการพิจารณาคดีดังกล่าวไม่น่าจะยาวนาน  เพราะข้อเท็จจริงปรากฎแล้ว น่าจะครบ อยู่ที่การวินิจฉัยเรื่องข้อกฎหมาย และเจตนาเท่านั้น ซึ่งการแนบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ที่ระบุว่าพฤติกรรมของพรรคก้าวไกลเป็นการล้มล้างการปกครองมาด้วย ก็เป็นข้อเท็จจริงหรือเป็นพฤติกรรม แต่ต้องให้คณะกรรมการไต่สวนเป็นผู้พิจารณา ตนเองไม่สามารถก้าวล่วงได้

ส่วนกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ยื่นคำร้อง ขอให้ ป.ป.ช. มีคำวินิจฉัยพฤติการณ์ของ 44 สส. ได้เลย เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องเปิดไต่สวนอีกนั้น นายนิวัติไชย ยืนยันว่า เรื่องการให้ความเป็นธรรมอยู่ที่ข้อกฎหมาย เพราะเรื่องนี้ต้องจบที่ศาลฎีกา ศาลก็จะใช้ดุลยพินิจในการพิจารณา ดังนั้น การให้ความเป็นธรรมขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานจะใช้คำวินิจฉัยอย่างเดียวคงไม่เป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหา อีกทั้งตอนนี้ยังไม่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเลย ถือว่ายังไม่ครบถ้วนตามข้อกฎหมาย ส่วนคำวินิจฉัยของศาลจะผูกพันทุกองค์กรก็ต้องพิจารณาว่าผูกพันอย่างไรบ้าง

ด้านนายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ กรรมการ ป.ป.ช. ระบุว่า ข้อเท็จจริงของผู้ถูกกล่าวหาแต่ละคนแตกต่างกัน ดังนั้น ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ในการไต่สวนต้องให้ได้ข้อเท็จจริงทั้งที่เป็นคุณและเป็นโทษ ผู้ถูกกล่าวหาต้องได้รับโอกาสในการชี้แจงกระบวนการยุติธรรมรวบรัดไม่ได้ ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่สามารถรวบรวมได้ ยืนยันว่าคณะกรรมการไต่สวนดำเนินการอยู่ไม่ได้ล่าช้า แต่ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ต้องพิจารณาทุกแง่มุมทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ย้ำว่า  ป.ป.ช. ทำงานโดยไม่มีอคติอยู่บนข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทำให้รวดเร็วเอาใจทุกฝ่ายคงไม่ได้ หากรวบรัดเกินไปความยุติธรรมก็จะไม่เกิด ยืนยันว่าไม่มีใบสั่งจากใครไม่เข้าข้างใคร ไม่ว่าฝ่ายใด ทำหน้าที่อย่างเป็นกลางให้โอกาสทุกฝ่ายนำข้อเท็จจริงมาเข้าสู่ระบบการไต่สวน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่เป็นคุณหรือเป็นโทษเป็นไปตามขั้นตอน