ผัวยิงเมียเจ็บสาหัส หลังให้เมียยืมรถยนต์ขับไปหาหมอ แต่ GPS ไปคนละทาง

View icon 190
วันที่ 28 ก.ค. 2567
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
ผัววัย 61 ปี หึงเมียรุ่นลูกอายุ 36 ปี ชักปืนยิงเข้าหน้าอกเมียอาการสาหัส อ้างตนให้เมียยืมรถยนต์ขี่ไปหาหมอในเมือง แต่ GPSที่รถขับไปนั้นไปคนละทาง

วันนี้ (28 ก.ค. 67) ศูนย์วิทยุ 191 สภ.เมืองอุดรธานี ได้รับแจ้งเหตุทะเลาะวิวาทมีคนถูกยิงบาดเจ็บ 1 คน โดยเหตุเกิดที่บ้านหลังหนึ่งใน บ.ตาดใต้ ม.14 ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี เบื้องต้นญาติได้นำตัวผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลค่ายประจักษ์ศิลปาคม แต่อาการสาหัส จึงนำตัวส่งโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี หลังได้รับแจ้งเหตุ ร.ต.ต.ภาคภูมิ สาลีจันทร์ หัวหน้าตำรวจชุมชน ต.บ้านตาด นำกำลังเดินทางไปตรวจสอบ

ณ ที่เกิดเหตุเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว บริเวณหน้าบ้านพบกองเลือดของผู้บาดเจ็บ ทราบชื่อผู้บาดเจ็บภายหลังคือ น.ส.ต้า อายุ 36 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน ถูกยิงเข้าที่หน้าอกด้านขวา กระสุนฝังใน ส่วนผู้ก่อเหตุชื่อ นายน้อย อายุ 61 ปี ยืนรอมอบตัวกับเจ้าหน้าที่พร้อมของกลางอาวุธปืนลูกโม่ .38 และลูกกระสุน 5 นัด ปลอกกระสุน 2 ปลอกในรังเพลิง ก่อนพาไปทำบันทึกรับสารภาพที่ สภ.โนนสูง

ต่อมา ร.ต.อ.เจนวัธน์ วิทยรติโชติตระกูล รอง สว.(สอบสวน) สภ.โนนสูง และตำรวจพิสูจน์หลักฐาน จ.อุดรธานี ได้ทำการสอบปากคำและตรวจหาเขม่าดินปืน นายน้อย ไว้เป็นหลักฐาน และทำการสอบปากคำ นายเอ อายุ 17 ปี ลูกชายของ น.ส.ต้า ผู้บาดเจ็บ ที่เห็นเหตุการณ์และเข้าไปช่วยแม่ โดยมี น.ส.ภา อายุ 47 ปี พี่สาวผู้บาดเจ็บ และนายสุทธิพงษ์ อายุ 24 ปี ญาติผู้บาดเจ็บ ที่ช่วยนำตัวส่งโรงพยาบาล มาร่วมให้ปากคำ

ทาง นายน้อย เล่าว่า ตนเป็นพ่อหม้าย ภรรยาเก่าเพิ่งเสียชีวิตไปประมาณ 1 ปี มีบ้านอยู่ใกล้กับ น.ส.ต้า และได้พูดคุยถูกคอกัน จึงตกลงผูกข้อไม้ข้อมือกัน อยู่กินแบบสามี-ภรรยา แต่ไม่ได้จดทะเบียนกัน เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา ปกติตอนกลางวันตนจะอยู่ที่บ้านในหมู่บ้าน แต่เมื่อตกเย็นตนจะไปนอนเฝ้าที่นา ไม่ได้อยู่บ้านหลังเดียวกันกับ น.ส.ต้า เพราะเขาเคยมีครอบครัวและอยู่กับลูกชาย-ลูกสาว โดยก่อนเกิดเหตุเวลา 16.00 วานนี้ น.ส.ต้า บอกกับตนว่าจะไปหาหมอที่คลินิกในเมือง เพราะมีอาการเสียงแหบ ตนจึงให้ยืมรถยนต์ไป เพราะไม่อยากให้ขี่รถจักรยานยนต์ไปเอง ซึ่งรถของตนติด GPS จึงรู้ว่าขับไปคนละทางกับที่บอกไว้ ซึ่ง น.ส.ต้า ขับไปที่ตลาด บ.หนองไฮ ต.หนองไฮ อ.เมือง ตนจึงโทรศัพท์หา น.ส.ต้า หลายครั้งจนทะเลาะกัน

จน น.ส.ต้า กลับมา ตนจึงตามมาจากนาเพื่อมาเคลียร์ปัญหา โดยตนพกปืนมาด้วย สุดท้ายเถียงกันไปมา ตนจึงชักปืนออกมาข่มขู่และในจังหวะชุลมุนตนจำไม่ได้ว่ายิงไปกี่นัด จนถูกร่าง น.ส.ต้า บาดเจ็บ ตนรักและหวง น.ส.ต้า มาก ตนไม่ชอบคนโกหก ตนยอมรับว่ายิงจริง แต่ไม่รู้ว่ายิงเข้าจุดไหนบ้าง เมื่อลูกชายของ น.ส.ต้า เข้ามาแยกตนออก ตนจึงหยุดและรอมอบตัว ปืนที่ยิงก็เป็นปืนของเพื่อน เป็นปืนมีทะเบียนแต่ตนได้เอามาเก็บไว้เพื่อป้องกันตัวเองเท่านั้น

ขณะที่ นายเอ ลูกชายของ น.ส.ต้า ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุ ตนได้ไปเล่นที่บ้านของนายสุทธิพงษ์  แม่ได้โทรศัพท์มาบอกว่านายน้อย ได้พกปืนมาข่มขู่ชักปืนมาจ่อจะทำร้ายแม่ เมื่อตนไปถึงบ้านก็เห็นแม่ถูกยิงแล้ว จึงรีบเข้าไปแย่งปืนจากนายน้อย จากนั้นแม่ก็วิ่งหนีออกมาที่ถนนหน้าบ้าน

ด้าน นายสุทธิพงษ์ ญาติผู้บาดเจ็บ เล่าว่า ตนเห็น น.ส.ต้า วิ่งออกมาขอความช่วยเหลือบอกว่าถูกยิง ตนจึงโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนเห็น น.ส.ต้า เลือดออกเยอะมาก จึงรีบขับรถยนต์ไปส่งที่โรงพยาบาลทันที เมื่อถึงมือหมอแล้ว ตนก็รีบมาที่โรงพักเพื่อพากันมาแจ้งความ ซึ่งอาการของ น.ส.ต้า สาหัสมาก กระสุนฝังใน ปอดทะลุ ต้องเจาะเลือดออกจากปอด อาการยังโคม่า อยากให้ตำรวจดำเนินการจนถึงที่สุด

ทาง น.ส.ภา พี่สาวผู้บาดเจ็บ เล่าว่า ตนแยกไปมีครอบครัว แต่ยังอยู่หมู่บ้านใกล้กัน หลานโทรศัพท์มาบอกว่าน้องถูกยิง จึงรีบออกมาที่โรงพักก่อน หลังจากให้ปากคำเสร็จก็จะรีบไปหาน้องที่โรงพยาบาล ตนไม่รู้ว่าน้องไปแต่งงานหรืออยู่กินกับนายน้อย เพราะตนไม่ค่อยได้คุยกับน้องเลย ไม่รู้ว่าน้องบอกญาติคนไหนบ้าง นายน้อยเองตนก็ไม่ค่อยสนิทรู้เพียงว่าเป็นคนมีหน้ามีตาในหมู่บ้าน

เบื้องต้น ตำรวจยังไม่ได้ทำการควบคุมตัวนายน้อยไว้ เนื่องจากให้การรับสารภาพและมอบตัวในที่เกิดเหตุ ไม่มีเจตนาหลบหนี มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ซึ่งจะได้เชิญตัวมาทำการสอบปากคำอีกครั้ง โดยจะเร่งประสานแพทย์เพื่อเก็บหลักฐานร่องรอยแผล ประเมินอาการผู้บาดบาดเจ็บอีกครั้ง และได้ทำเอกสารให้ญาติไปติดต่อที่โรงพยาบาลก่อน เพื่อสะดวกในการรักษา และจะเร่งทำการสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องอีกครั้งเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป