โรงเรียนดัง แจงดรามา อาหารกลางวันบูด-ไม่พอกิน

View icon 199
วันที่ 8 ก.ค. 2567
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
ผอ.โรงเรียนดัง แจงดรามา อาหารกลางวันบูด-ไม่พอกิน ยัน มีนโยบาย “ไม่อิ่มเติมได้” ส่วนครูปล่อยช้าจนข้าวหมด เพิ่งทราบเรื่อง เตรียมเชิญผู้ปกครองแจงข้อสงสัย

จากกรณีผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมืองสระบุรี โพสต์ข้อความลงสื่อโซเซียล พร้อมร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวว่า ลูกของตนไม่ได้ทานอาหารกลางวัน เนื่องจากอาหารหมด นอกจากนี้ สื่อการเรียนก็ไม่เพียงพอต่อนักเรียน และเรื่องการเรียกเก็บเงินประกันภัย นั้น

ล่าสุด วันนี้ (8 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ยังโรงเรียนดังกล่าว เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงกับทางโรงเรียน พบว่า คณะผู้บริหารโรงเรียน ร่วมประชุมกับ ดร.น้ำอ้อย มีสัตย์ธรรม ผู้อำนวยการสำนักการศึกษาเทศบาลเมืองสระบุรี เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น โดยใช้เวลาร่วม 3 ชั่วโมง จึงประชุมเสร็จ ภายหลังการประชุม ผอ.กองการสำนักการศึกษา เผยกับผู้สื่อข่าวว่า เรื่องนี้ขอให้ทางโรงเรียนเป็นผู้ชี้แจง

จากนั้นผู้สื่อข่าวได้เข้าไปตรวจสอบบริเวณโรงอาหารพบว่า เด็กนักเรียนระดับชั้นประถม กำลังนั่งรับประทานอาหารกันอยู่ ซึ่งวันนี้มีเมนูอาหารประกอบด้วย ผัดแตงกวาใส่ไข่ ต้มไก่ใส่เห็ด ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น เฉาก๊วยน้ำแดง ซึ่งเด็ก ๆ รับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อย และเมื่อทานข้าวเสร็จมีอาหารเหลือ เด็กจะนำมาเทใส่กะละมัง และวางถาดหลุมไว้เพื่อที่จะนำไปล้าง ซึ่งจะเห็นว่าเด็ก ๆ ทานข้าวเหลือกันเป็นจำนวนมาก

ด้าน น.ส.ศรุดา วงษ์มหิง รักษาการผู้อำนวยการโรงเรียนเทศบาล 3 (วัดบ้านอ้อย) เผยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า กรณีอาหารไม่เพียงพอกับนักเรียน ตนคิดว่าไม่น่าจะมีมูลความจริง เนื่องจากโรงเรียนมีนโยบาย “ไม่อิ่มเติมได้” คือสามารถเติมอาหารได้ตลอด ถ้าทานไม่อิ่ม และมีครู เจ้าของโครงการที่รับผิดชอบคอยดูแลอยู่ เช่นเดียวกับอาหารบูดเสีย ทางโรงเรียนและเทศบาลลงพื้นที่ตรวจสอบตลอด  แต่เรื่องครูปล่อยเด็กนักเรียนช้าแล้วอาหารหมดนั้น ทางโรงเรียนก็เพิ่งรับทราบ เราก็มีครูคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา ส่วนเรื่องที่มีการนำอาหารเก่ามาปรุงใหม่ให้เด็กรับประทาน ตรงนี้ต้องหาข้อมูลความจริง เพราะทางโรงเรียนก็มีการตรวจรับ และครูจะคอยชิมอาหารอยู่ตลอด ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าเอาข้อมูลมาจากไหน

รักษาการผู้อำนวยการโรงเรียน กล่าวอีกว่า สำหรับสื่อการเรียนการสอนที่ว่าไม่เพียงพอนั้น จะมีครูคอยตรวจสอบและจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ ทยอยส่งหนังสือให้เด็ก ๆ อยู่เรื่อย ๆ โดยจัดซื้อให้อย่างเพียงพอในทุก ๆ ปีที่ผ่านมา ซึ่งค่าอุปกรณ์การเรียนเป็นงบจากทางสำนักฯ ส่งมาให้โรงเรียน ส่วนเรื่องค่าประกันภัยที่เรียกเก็บกับเด็กนักเรียนเป็นจำนวนเงิน 350 บาทนั้น เนื่องจากว่าประกันภัยบริษัทเดิม มีเด็กนักเรียนเคลม 200 % บริษัทเดิมจึงไม่รับประกัน แต่ของเก่ายังคงคุ้มครองถึงเดือน มิ.ย. โรงเรียนจึงได้เปลี่ยนบริษัทประกันใหม่ โดยวงเงินรักษา 8,000 บาท เบี้ยประกันจะเป็นเงิน 350 บาท ตนพิจารณาแล้วว่าเด็กและผู้ปกครองบางคนเงินก็ไม่ค่อยมีเงิน จึงลดวงเงินเบี้ยประกันภัยลงมาเป็น 300 บาท สามารถเบิกสิทธิ์ได้ 6,000 บาท ซึ่งตนเองก็ได้ชี้แจงให้ผู้ปกครองเข้าใจแล้ว ทุกวันนี้ผู้ปกครองก็ยังไม่มีเงินจ่าย ทางโรงเรียนก็ยังช่วยเหลือไปก่อน

ต่อจากนี้ จะเรียกผู้ปกครองเด็ก ๆ เข้ามาประชุมชี้แจง เพื่อทำความเข้าใจถึงสาเหตุต่าง ๆ ให้คลายข้อความสงสัย ในทุก ๆ เรื่องที่เกิดขึ้น