เจ้าของร้านผ้าถูก ดาบตำรวจนายหนึ่ง ชักดาบ ไม่จ่ายค่าผ้าตามที่สั่ง เป็นเงิน 1.3 ล้าน

View icon 128
วันที่ 28 มิ.ย. 2567
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
เจ้าของร้านผ้าถูก ดาบตำรวจนายหนึ่ง ชักดาบ หลังสั่งผ้าม้วน เพื่อไปตัดกระโปรงทรงเอ แล้วไม่จ่ายค่าผ้าตามที่สั่ง เป็นเงิน 1.3 ล้าน ซ้ำ เมื่อไปทวงถามยังหยิบปืนมาข่มขู่
     
เมื่อเวลา 11.00 น .วันที่ 28 มิ.ย.67 ที่มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ถ.แจ้งวัฒนะต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี นายเอกศิษฐ์ อายุ 44 ปี เจ้าของร้านขายผ้าม้วน ย่านห้วยขวาง กทม.เดินทางมาร้องเรียนที่มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรม ให้ช่วยเหลือ หลังถูก “ดาบตำรวจ” นายหนึ่ง ชักดาบ! สั่งซื้อผ้าจากร้านเพื่อไปตัดเย็บกระโปรงขาย แต่ไม่จ่ายเงินเกือบ 1 ล้านบาท ที่ผ่านมาเคยถูกข่มขู่เอาชีวิต เพราะจะไม่จ่ายหนี้ เจ้าของร้านวอนช่วยเหลือเพราะต้องนำเงินมาใช้เพื่อเป็นทุนการศึกษาให้ลูกสาว

นายเอกศิษฐ์ กล่าวว่า ตนเปิดร้านขายผ้าม้วน และได้เริ่มรู้จักซื้อขายผ้ากับดาบตำรวจคนนี้เมื่อปี 2549 ซึ่งขณะนั้นคู่กรณีเป็นดาบตำรวจอยู่ที่กองบินตำรวจและติดต่อซื้อผ้าเพื่อไปตัดเป็นกระโปรงทรงเอ จากนั้นเริ่มมีความสนิทสนมกันมากขึ้นถึงขั้นที่ตัวเองไว้ใจจนกระทั่งปี 2555 ดาบตำรวจคนนี้ได้สั่งผ้าไปจำนวนหลายล็อต ซึ่งเป็นจำนวนเงินหลายแสนบาท โดยแต่ละครั้งที่สั่งคู่กรณีมักอ้างว่า ขอติดไว้ก่อนเดี๋ยวจ่ายให้ที่เดียว จนมาดูยอดเงินทั้งหมดที่คู่กรณีติดพบว่าเป็นยอดเงินที่ทางดาบตำรวจคนนี้ต้องจ่ายคืนเงินประมาณ 1.3 ล้านบาท เมื่อทวงถามดาบตำรวจจึงอ้างว่า จะผ่อนชำระให้เป็นรายเดือนเดือนละ 20,000 บาท แต่ชำระเงินได้เพียง 9 เดือน เป็นจำนวนเงิน 180,000 บาท จากนั้นคู่กรณีก็ไม่ได้ทำการคืนเงินและหายไป

กระทั่งวันที่ 17-18 มีนาคม 2555 ตนเองได้ให้ลูกน้องที่เป็นคนขับรถส่งผ้า โทรศัพท์ไปทวงถาม แต่ดาบตำรวจคนนี้ ข่มขู่กลับมา อีกทั้งยังไม่คืนเงิน จากนั้นเวลา 19:00 น. ตนเดินทางไปพบกับดาบตำรวจ เพราะภรรยาดาบตำรวจนัดเจรจากันไว้ ซึ่งเจราจากันอยู่พักใหญ่ ดาบตำรวจได้เดินไปหยิบปืนออกจากกระเป๋ามาไว้ข้างลำตัว พร้อมพูดข่มขู่ตัวเองว่า “ระวังจะอยู่แถวนี้ไม่ได้นะ”

ด้วยความกลัวตนจึงตัดสินใจกลับบ้าน จากนั้นได้ติดต่อคู่กรณีให้คืนเงินภายในระยะเวลาสามเดือน แต่ผ่านมา 3 เดือน ดาบตำรวจก็เงียบหาย จึงตัดสินใจจ้างทนายฟ้องร้องจนหมายศาลส่งไปถึงหน้าบ้านคู่กรณี ทำให้คู่กรณีกลับมาแจ้งความตน ในข้อหาบุกรุกทั้งกลางวันและกลางคืน จนทำให้ตนต้องมาสู้คดีกันในชั้นศาล

โดยศาลให้ทั้งตนและคู่กรณีไปเจรจาไกล่เกลี่ย ซึ่งทางคู่กรณีบอกกับตนว่าถ้าอยากจะให้ถอนฟ้องในคดีบุกรุก ก็ต้องยอมรับข้อเสนอที่เขาจะจ่ายเงินให้กับตนแค่ 100,000 บาทจากยอด 940,000 บาท โดยอ้างว่าไม่เคยสั่งซื้อผ้าเหล่านี้ แต่ตนมีหลักฐานเป็นบิลการสั่งซื้อผ้าที่จดบันทึกไว้ ส่วนที่ตนต้องยอมทำตามเพราะกลัวคู่กรณี เเละถูกข่มขู่ จากนั้นคู่กรณีจึงถอนฟ้องในคดีบุกรุก และเริ่มโอนเงินให้กับตนเดือนละ 3,000 บาท โดยโอนมาแค่ 5 เดือน เป็นเงินทั้งหมด 15,000 บาทหลังจากนั้นดาบตำรวจก็ไม่เคยติดต่อมาคืนเงินอีกเลย จนเวลาผ่านมาเกือบ 10 ปีถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้เงินคืน ที่ผ่านมาไม่กล้าแจ้งความ เพราะกลัว ดาบตำรวจคนนี้เนื่องจากเป็นทั้งตำรวจและมีอาวุธปืน

นายเอกศิษฐ์ เล่าอีกว่า เงินจำนวนนี้เป็นเงินเก็บสะสมของตัวเองกับแฟนสาว ซึ่งเป็นเงินสำคัญเพราะจะนำเงินไปจ่ายค่าเล่าเรียนให้กับลูกสาว ส่วนตัวก็อยากให้ดาบตำรวจเห็นใจและคืนเงินก้อนนี้ให้หมด

ด้าย ทนายหนุ่ย หรือ นายชาญชัย ฉายบุ ทนายที่ปรึกษา เผยว่า เบื้องต้นผู้เสียหายทำการยื่นฟ้องศาลแพ่ง โดยศาลมีคำพิพากษาคดีนี้เป็นคดีซื้อขายของกัน และให้จำเลยชำระเงิน 978,504 แสนบาท แก่โจทย์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 948,680  บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป คือวันที่ 29 กรกฎาคม 2558 แต่หลังจากนั้นผู้เสียหายก็ไม่ได้เงินจากดาบตำรวจท่านนี้เลย โดยอายุบังคับคดีหลังมีคำพิพากษา มีอายุความคือ 10 ปี ซึ่งตอนนี้เข้าปีที่ 8 หากไม่สามารถบังคับคดีได้ก็จะหมดอายุความ

ขณะที่ นายรภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน รอง ปธ.มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เผยว่า จากการสืบค้นทราบว่าคู่กรณีย้ายออกจากกองบินตำรวจไปแล้ว แต่ยังเป็นดาบตำรวจ เพราะเมื่อไปสืบค้นพบว่า ปี 67 นี้ ดาบตำรวจได้ทำการซื้อปืน เป็นจำนวน 28,000 บาท โดยเงินส่วนนี้ส่วนตัวมองว่าหากเอามาคืนผู้เสียหายจะดีกว่าหรือไม่ และฝากถึงดาบตำรวจคนนี้ว่า ให้เวลา 3 วันในการติดต่อเข้ามาพูดคุยกัน และหากไม่มีการติดต่อเข้ามา จะทำหนังสือไปถึงกองวินัยสำนักกำลังพล ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้ตรวจสอบว่าผิดวินัยหรือไม่

ข่าวที่เกี่ยวข้อง