เพลิงไหม้โรงงานกระดาษอัดก้อน ที่ จ.สมุทรสาคร ควบคุมให้เพลิงอยู่ในวงจำกัด แต่ยังไม่สามารถดับลงได้

View icon 465
วันที่ 30 เม.ย. 2567
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
เพลิงไหม้โรงงานรีไซเคิลกระดาษอัดก้อน ที่ จ.สมุทรสาคร เพลิงยังไม่สงบ สามารถควบคุมให้เพลิงอยู่ในวงจำกัด แต่ยังไม่สามารถดับลงได้ เพราะกระดาษเก่าเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี อีกทั้งยังมีอยู่เป็นจำนวนมหาศาล

เมื่อเวลาประมาณ 17.30 น.ของวันที่ 30 เมษายน 2567 ร.ต.อ.อะลาม ครุฑจู รองสารวัตรสอบสวน สภ.บางโทรัด อ.เมืองฯ จ.สมุทรสาคร ได้รับแจ้งมีเหตุเพลิงไหม้กองกระดาษอัดก่อน  ที่บริษัทแห่งหนึ่งใน ต.นาโคก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นโรงงานผลิตและจำหน่ายเยื่อกระดาษ เคมีภัณฑ์ และพลาสติก จึงรีบประสานรถน้ำดับเพลิงจาก อบต.นาโคก และในพื้นที่ใกล้เคียงทั้งจากจังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดสมุทรสงคราม รวมเกือบ 20 คัน เข้าระงับเหตุ

พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สิทธิโชคธรรม ผกก.สภ.เมืองสมุทรสาคร,ร้อยตรีประพันธ์ ถึกสกุล นายอำเภอเมืองสมุทรสาคร นายราชศักดิ์ มากสัมพันธ์ นายก อบต.นาโคก  เจ้าหน้าที่ ปภ.สมุทรสาคร ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจุดที่เกิดเหตุเป็นบริเวณด้านหลังนอกตัวอาคารที่ใช้สำหรับเก็บกองกระดาษเก่า ที่ยังไม่ผ่านกระบวนการคัดแยก โดยเพลิงได้โหมลุกไหม้กองกระดาษรีไซเคิลอย่างรุนแรง จำนวน 3 กอง 

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ช่วยกันระดมฉีดน้ำควบคุมให้เพลิงอยู่ในวงจำกัด แต่ยังไม่สามารถดับลงได้ เพราะกระดาษเก่าเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี อีกทั้งยังมีอยู่เป็นจำนวนมหาศาล  จึงทำให้ยากต่อการดับลงได้โดยง่าย โดยทางผู้บังคับบัญชาควบคุมสถานการณ์เหตุเพลิงไหม้ (นายอำเภอเมืองสมุทรสาคร) ได้ประสานรถแบ็กโฮเข้ามาตักคุ้ยกองกระดาษ เพื่อให้สามารถฉีดน้ำลงไปถึงข้างล่างได้ จะช่วยทำให้เพลิงสงบลงได้โดยง่ายขึ้น  โชคดีที่บริเวณดังกล่าวไม่มีบ้านเรือนประชาชนอยู่ใกล้เคียง และไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด

จากการสอบถามเบื้องต้นทราบว่า โรงงานดังกล่าวเป็นโรงงานรีไซเคิลกระดาษเก่า ที่รับมาจากทั้งในและต่างประเทศ เพื่อนำมาคัดแยกก่อนที่จะนำไปผลิตเป็นกระดาษอัดก้อนแล้วส่งขายอีกทอดหนึ่ง ส่วนที่เกิดเพลิงไหม้เป็นขยะอัดก้อนที่เพิ่งรับซื้อมา มีทั้งเศษกระดาษเก่า เศษแก้ว เศษอะลูมิเนียมและขยะแห้งอื่นๆ ปะปนกันอยู่  โดยทางโรงงานเตรียมไว้เพื่อเอามาคัดแยกเศษกระดาษออกจากวัตถุอื่นๆที่ปะปนมาด้วยกัน จากนั้นก็จะนำไปเข้าสู่กระบวนการอัดก้อนให้มี แต่เฉพาะกระดาษเพื่อส่งขาย

ส่วนสาเหตุก็คาดว่าน่าจะมาจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด และการรวมแสงของแก้วกับอะลูมิเนียมที่ปะปนอยู่ในขยะก้อน เมื่อเจอกับความร้อนจากแสงแดดจึงทำให้เกิดการลุกไหม้ขึ้นได้ แต่ทั้งนี้จะต้องรอให้เพลิงสงบลงเป็นที่เรียบร้อยก่อน จึงจะให้เจ้าหน้าที่วิทยาการจากกองพิสูจน์หลักฐานเข้าไปตรวจสอบหาสาเหตุที่ชัดเจนต่อไปได้