เมื่อวานนี้ ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาสหรัฐฯ 9 คน ร่วมกันพิจารณาคดีศาลสูงรัฐโคโลราโด ตัดชื่อของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ออกจากการเลือกตั้ง เพื่อเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในรัฐดังกล่าว เมื่อวันที่ 19 ธันวาคมปีที่แล้ว โดยมีทนายความของนายทรัมป์ และทนายความของฝ่ายยื่นฟ้องนายทรัมป์ เข้าให้การต่อศาลฏีกา แต่นายทรัมป์ ไม่เข้าร่วมฟังการพิจารณาครั้งนี้
นายเจสัน เมอร์รี ทนายความที่เป็นตัวแทนของผู้มีสิทธิออกเสียงพรรครีพับลิกัน จำนวน 4 คน และผู้มีสิทธิออกเสียงอิสระ 2 คน ให้การต่อศาลฏีกาสหรัฐฯ ว่านายทรัมป์พยายามฝืนมติของชาวอเมริกันจำนวน 80 ล้านคน ที่ไม่ลงคะแนนเลือกเขาในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ด้วยการให้ท้ายกลุ่มผู้สนับสนุนของเขาก่อการกบฎ บุกยึดอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2564 ขณะมีการประชุมเพื่อประกาศชื่อนายโจ ไบเดน ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต ชนะการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ซึ่งการกระทำของนายทรัมป์ เป็นการขัดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ มาตราที่ 3 ที่มีการแก้ไขครั้งที่ 14 ซึ่งระบุว่า เจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนร่วมในการก่อกบฏจะไม่สามารถดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐได้อีกต่อไป
ขณะที่นายโจนาธาน มิทเชลล์ ทนายความของนายทรัมป์ บอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2564 เป็นเพียงเหตุจลาจล ไม่ใช่การก่อกบฏแต่อย่างใด
นายจอร์น รอเบิร์ตส์ ประธานคณะผู้พิพากษาศาลฎีกาสหรัฐฯ ที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม ตั้งข้อสงสัยต่อการตีความคำว่า "กบฏ" ของนายเมอร์รี รวมทั้งตั้งข้อสังเกตว่า หากศาลฏีกาสหรัฐฯ พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลรัฐโคโลราโดที่ตัดสิทธินายทรัมป์ ก็อาจทำให้ศาลสูงรัฐอื่น ๆ ทั่วสหรัฐฯ กระทำตาม ซึ่งจะทำให้ระบบการเมืองของสหรัฐฯ สับสนวุ่นวายอย่างมาก ซึ่งการตั้งข้อสงสัยของนายรอเบิร์ตส์ บ่งบอกเป็นนับว่าศาลฎีกาอาจเลือกยืนข้างนายทรัมป์ก็เป็นได้
