จับตาแรงกระเพื่อม พรรคก้าวไกล

View icon 130
วันที่ 1 ก.พ. 2567
สนามข่าว 7 สี
แชร์
สนามข่าว 7 สี - ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยไปเมื่อวานนี้ สำหรับกรณีการหาเสียง แก้ไข ม.112 ของพรรคก้าวไกล ซึ่งถือว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง ต่อจากนี้ก็ต้องมาจับตาถึงผลกระทบที่จะตามมาของพรรคก้าวไกลว่า จะมีอะไรบ้าง ซึ่งอาจมีโทษสูงสุดถึงขั้นยุบพรรค และตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต

จับตาแรงกระเพื่อม พรรคก้าวไกล
หลังจากที่ ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ วินิจฉัยว่า การกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จากการเสนอนโยบาย แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 พร้อมสั่งให้หยุดการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ ที่เกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา 112 เว้นแต่กระบวนการทางนิติบัญญัติแล้วนั้น

นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรค พร้อมด้วย นายพิธา และ สส. ของพรรค ร่วมกันแถลงข่าว ยืนยันว่า พรรคก้าวไกล ไม่มีเจตนาเพื่อเซาะกร่อนบ่อนทำลายหรือแยกสถาบันพระมหากษัตริย์ออกจากชาติแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังกังวลว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเมืองไทยในระยะยาว คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือว่าเป็นที่สิ้นสุด โต้แย้งไม่ได้ รอคำวินิจฉัยอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อไม่ประมาทในทางกฎหมาย แต่ก็ไม่ได้กังวลอะไร

ด้านนายพิธา ยืนยันว่าบริสุทธ์ใจไม่มีวาระซ่อนเร้น ยอมรับว่ากังวลการนิยามของระบอบประชาธิปไตย กังวลใจขอบเขตระหว่างนิติบัญญัติกับศาลรัฐธรรมนูญว่าอะไรทำได้ทำได้ไม่ได้ และเรื่องเกี่ยวกับการวินิจฉัยโดยอะไรที่เป็นข้อเท็จจริง

เรืองไกร จ่อร้อง กกต. ยุบพรรคก้าวไกล
ขณะที่ วันนี้ 10.00 น. นักร้องเรียนอีกคน ที่ยังไม่ถูกล่อซื้อก็คือ คุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ประกาศว่า จะไปร้องเรียน กกต.ให้ยื่นเรื่อง ไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย ยุบพรรคก้าวไกล ฐานความผิดล้มล้างการปกครอง อ้างอิงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวานนี้

และทันที ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ก็เกิด #ศาลรัฐธรรมนูญ #พรรคก้าวไกล #ล้มล้างการปกครอง #ล้มล้างการปกครอง #เซาะกร่อนบ่อนทำลาย ติดเทรน X และมีชาวโชเชียลเข้าไปแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก

จับตายื่นสอบจริยธรรมร้ายแรง 44 สส.
จากคำวินิจฉัยดังกล่าว ต้องมาลุ้นกันต่อว่า จะมีคนไปยื่นร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.เพื่อให้ดำเนินการไต่สวนและมีความเห็นว่า การกระทำของ 44 สส.ที่ลงชื่อเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา เกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา 112 เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมฯ อย่างร้ายแรง ตามมาตรา 219 หรือไม่

โดยในหมวดที่ 1 ได้ระบุถึงมาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์ เช่น เรื่องต้องยึดมั่น และธำรงไว้ซึ่งการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พิทักษ์สถาบันฯ ผลประโยชน์ของประเทศชาติ ซึ่งหมวดนี้เป็นหมวดที่มีความสำคัญมาก ถ้าหากใครฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม ในหมวดที่ 1 ให้ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง ซึ่งอาจจะทำให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูล และส่งเรื่องต่อไปยัง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณา ซึ่งโทษสูงสุดคือ ตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต และห้ามไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 10 ปี

ซึ่งข้อกล่าวนี้ทำให้ "ช่อ" พรรณิการ์ วานิช อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ โดนมาแล้ว ในคดีโพสต์ภาพในโซเชียลเชื่อมโยงสถาบันฯ

มาดูกันว่า 44 สส.พรรคก้าวไกล ในขณะนั้น ย้ำว่าขณะนั้น คือเมื่อปี 64 ที่ลงชื่อเสนอร่างแก้ไข ม.112 ซึ่งปัจจุบันบางคนไม่ได้เป็น สส.แล้ว มีใครกันบ้าง เรายกมาให้ดู เช่น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์, นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล, นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร, นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์, นายปดิพัทธ์ สันติภาดา, นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล, นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ, นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร และรังสิมันต์ โรม ซึ่งทุกคนที่ว่ามานี้ อาจถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต หากถูกศาลฎีกาพิพากษาว่า ผิดจริยธรรมร้ายแรง

ด้านธีรยุทธ สุวรรณเกษร ผู้ร้องในคดีนี้ บอกว่า จะขอไปกลับไปทบทวนคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อน ซึ่งภายในวันนี้ 1 กุมภาพันธ์ 67 จะมีความชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป