ดีเอสไอ ส่งอัยการฟ้อง 11 ผู้ต้องหาคดีหุ้นสตาร์ค พบเส้นเงิน 1 หมื่นล้าน โอนเข้าบริษัทตัวเอง

View icon 73
วันที่ 8 ธ.ค. 2566
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
ดีเอสไอ เห็นควรสั่งฟ้อง 11 ผู้ต้องหาคดีหุ้นสตาร์ค ขนสำนวน 5.2 หมื่นแผ่นส่งอัยการวันนี้  พบเส้นเงิน 1 หมื่นล้าน โอนเข้าบริษัทตัวเอง

วันนี้ (8 ธ.ค.66) พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รักษาราชการในตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พ.ต.ต. วรณัน ศรีล้ำ โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ, พ.ต.ต. ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม, พล.ต.ต. พุฒิเดช บุญกระพือ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) และนายวิทยา นีติธรรม โฆษกประจำสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ( ปปง.) ได้ร่วมกันแถลงความคืบหน้าคดีพิเศษ 3 คดี ได้แก่

กรณี หุ้นสตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งรับเป็นคดีพิเศษที่ 57/2566 เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.66 มีผู้เสียหายทั้งสิ้น 4,704 ราย มูลค่าความเสียหายจำนวน 14,778,000,000 ล้านบาท ขณะนี้ทำการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว ทางคดีมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา รวม 11 คน ในความผิดตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา และฐานฟอกเงิน ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

วันนี้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กองคดีการเงินการธนาคารและการฟอกเงิน ได้ส่งสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษไปยังพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษแล้ว โดยอธิบดีดีเอสไอ มีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา 11 คน ในความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ฐานตกแต่งบัญชีและงบการเงิน และฐานฉ้อโกงประชาชน รวมถึงความผิดตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 โดยมีเอกสารพยานหลักฐานทั้งสิ้นจำนวน 22 ลัง 140 แฟ้ม 52,968 แผ่น

ทั้งนี้ คดีดังกล่าวคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษยังพบว่า มีการนำเงินจำนวน 10,000 ล้านบาท โอนเข้ากลุ่มบริษัทของผู้ต้องหาเพื่อชำระหนี้เจ้าหนี้การค้า รวมทั้งยักย้ายถ่ายเทเข้าบัญชีส่วนตัวอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งได้ส่งข้อมูลให้ ปปง. ติดตามยึดทรัพย์สินดังกล่าว เพื่อดำเนินการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหาย

ส่วนกรณีหุ้นมอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) คณะพนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหา 29 คน และแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหาแล้วจำนวน 10 คน อยู่ระหว่างเร่งรัดตรวจสอบเส้นทางการเงิน เพื่อนำมาตรการตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาดำเนินการต่อไป