ช่วงนี้เทศกาลทอดกฐิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ขอความร่วมมือ ประชาชน ไม่เย็บลวดกระดาษ เพราะอาจทำให้ธนบัตร เสียหาย
ธนาคารแห่งประเทศไทย ขอความร่วมมือประชาชน ที่จะตั้งองค์กฐินเพื่อนำไปทอดฯตามวัดต่างๆ ตามศรัธา ช่วยงดการพับธนบัตรเป็นดอกไม้,นก หรืออื่นๆ รวมทั้งขอความร่วมมือ ไม่ใช้ใช้ลวดเย็บ หรือ Max ธนบัตรโดยเฉพาะธนบัตรใหม่ เนื่องจะทำให้ธนบัตรเป็นรอยพับ และเป็นรู เมื่อถูกนำส่งเข้าระบบคัดแยก จะกลายเป็นธนบัตรเสียและจะถูกนำไปทำลาย ไม่สามารถนำเข้าไปหมุนเวียนในท้องตลาดได้ จำเป็นต้องพิมพ์ธนบัตรออกมาใหม่ เท่ากับจำนวนที่ถูกทำลาย ทำให้เกิดต้นทุนในการจัดพิมพ์
นอกจากคำเตือนเรื่องการพับ การเย็บธนบัตร ล่าสุด ก็มีคำเตือนจากนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. อีกครั้ง ว่า “อย่าชะล่าใจ” ในการเตรียมพร้อมรับมือปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่รออยู่ข้างหน้า หลังหลายสถาบันทั่วโลก ยังคงกังวล เกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงสูง การฟื้นตัวช้า และไม่ทั่วถึง โดยมีการคาดการณ์ว่าปีนี้เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวเพียง 3% ต่ำสุดในรอบ 30 ปี สะท้อนภาพการเติบโตที่ไม่สวยหรู ความเสี่ยงใหม่ ๆ ที่โผล่มาค่อนข้างมาก และเป็นเรื่องที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน และจะทำให้เรื่องของ ‘เสถียรภาพ’ กลับมาเป็น ‘พระเอก’ ในเวทีโลกมากขึ้น ซึ่งทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ ก็แนะนำการทำนโยบายของแต่ละประเทศ ว่าควรเน้นจะเป็นเรื่อง ‘เสถียรภาพ’ คือ 1.เงินเฟ้อกลับเข้ากรอบเป้าหมายให้ได้ และมีกันชนภาคการคลัง จะต้องอยู่ในโหมด<< fiscal consolidation >>รัดเข็มขัด ด้วยการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ เพื่อรองรับช็อกในอนาคต รวมทั้ง ดูแลระบบสถาบันการเงินไม่ให้เปราะบาง และ 4.การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต เช่น ดิจิทัล green เป็นต้น
ซึ่งในส่วนของประเทศไทย อยู่ในภาวะชะล่าใจไม่ได้ เพราะ หนี้สาธารณะปัจจุบันอยู่ที่ 61.7% ถือว่าสูงสุดที่เคยมีมา และสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากช่วงปี 2540 วิกฤตต้มยำกุ้งที่หนี้สาธารณะวิ่งอยู่ที่ราว 60% และช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 จะอยู่ที่ราว 40% จึงถือว่าหนี้สาธารณะวิ่งขึ้นมาค่อนข้างเร็ว “ในแง่เสถียรภาพ จะเห็นว่าตัวเลขหนี้ไม่ค่อยดี ที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็น safe haven แต่ปัจจุบันเป็น less of the safe haven คือความเป็น safe haven มันน้อยลง ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า สิ่งที่สถาบันจัดอันดับเครดิตเรตติ้งจับตา ไม่ใช่แค่เรื่องหนี้ หรือภาระทางการคลังเท่านั้น แต่ยังพิจารณาถึงที่มาของนโยบายที่ก่อหนี้ หรือสร้างภาระทางการคลังเพิ่มด้วย จำเป็นที่ประเทศไทยต้องรีบเก็บกระสุนการเงิน-การคลัง ให้มั่นคง หรือมีเสถียรภาพมากกว่าที่เป็นอยู่ ตรงนี้ อาจจะสะท้อนได้ว่า นโยบายแจกเงินดิจิทัล ที่ต้องใช้งบประมาณกว่า 5 แสน 6 หมื่นล้านบาท ต้องระวัง ให้มาก ๆ
