ผลพวง พ่อ-แม่ ไม่รับผิดชอบ หยก จ่อเสนอแก้กฎหมายคุ้มครองเด็กเพิ่ม

View icon 280
วันที่ 21 มิ.ย. 2566
ห้องข่าวภาคเที่ยง
แชร์
ห้องข่าวภาคเที่ยง - ข่าวใหญ่วันนี้ เป็นเรื่องราวที่ถกเถียงมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว เกี่ยวกับพฤติกรรมของนางสาวหยก เยาวชนอายุ 15 ปี ปีนรั้ว เข้าทางหน้าต่าง เพื่อเรียกร้องสิทธิการเรียน และเสรีภาพในเรื่องทรงผม และเครื่องแต่งกาย ซึ่งจากปรากฏการณ์นี้ มีสองเรื่องใหญ่ที่เรามาชวนให้สังคมร่วมกันขบคิด

ประเด็นแรกที่สังคมตั้งคำถามกันมากจากเรื่องนี้คือ พ่อแม่ของหยก หายไปไหน เหตุใดจึงมีบุ้งเข้ามาเป็นผู้ปกครอง และการหายตัวไปของพ่อแม่ โดยไม่ดูดำดูดีลูก มีความผิดใด ๆ ตามกฎหมายหรือไม่

ทีมข่าวของเรา ค้นหาคำตอบเรื่องนี้ จากกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเด็ก พบว่า มีช่องว่างอยู่ เพราะ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก คุ้มครองไม่ให้พ่อ แม่ ทอดทิ้งเด็กถึงอายุแค่ 9 ปีเท่านั้น และจากปัญหานี้ ทำให้เริ่มมีความคิดว่า ต้องทบทวนเพื่อปรับปรุงเนื้อหาในกฎหมายหรือไม่

ย้อนคำสั่ง ศธ. เลิกระเบียบทรงผมนักเรียน 16 ม.ค. 66 สุ่มถามเด็ก พบชอบใส่ชุด นร. แต่อยากฟรีสไตล์ทรงผม
ส่วนอีกปมร้อน ที่ทำให้เกิดความเห็นแตกออกเป็นสองฝ่ายคือ เรื่องเสรีภาพทรงผม และเครื่องแต่งกาย ซึ่งความจริงต้องบอกว่า กฎเกณฑ์เหล่านี้มีการปรับเปลี่ยนไปมากแล้ว อย่างทรงผมนี่ ก็มีการออกระเบียบใหม่เมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมานี้เอง ยกเลิกทรงผมนักเรียนไปแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับโรงเรียนแต่ละแห่งจะไปกำหนดระเบียบที่เป็นฉันทามติร่วมของทุกฝ่าย

ทีมข่าวของเราสอบถามความเห็น นักเรียนหลายคนก็มีความเห็นหลากหลาย มีทั้งที่เห็นว่าไม่เดือดร้อนอะไรที่ต้องอยู่ในเครื่องแบบ และทรงผมที่โรงเรียนกำหนด แต่ก็มีเหมือนกัน ที่คิดว่า ถ้ามีเสรีภาพได้ก็เป็นเรื่องดี

ขณะที่มุมมองของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมวัดธาตุทอง ที่ถือว่ามีกฎระเบียบที่ค่อนข้างก้าวหน้า ไม่ห้ามเรื่องทรงผม เปิดให้ไว้ผมสั้นหรือผมยาวก็ได้ตามเพศวิถี แต่ยังห้ามไม่ให้มีการย้อมสีผม รวมถึงแต่งตัวไพรเวต เป็นเพราะอะไร ไปฟัง

จับตารัฐบาลก้าวไกล ให้แต่งชุดไพรเวต ฟรีสไตล์ทรงผม สมาคมผู้ปกครองฯ ติง ก่อนออกกฎใหม่ ดูให้รอบด้าน
อีกประเด็นที่จับตากันมากต่อจากนี้ คือ เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ นโยบายของพรรคก้าวไกล ผ่านการยืนยันของ ไอติม พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ ระบุว่า จะยกเลิกทั้งเงื่อนไขเรื่องทรงผม และเครื่องแต่งกาย ให้นักเรียนเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบกติกา และระเบียบของโรงเรียน

ซึ่งเรื่องนี้ก็มีข้อกังวลจากสภาผู้ปกครองและครูแห่งประเทศไทย ที่ยังเห็นว่า กฎระเบียบเรื่องทรงผม และเครื่องแต่งกาย ยังจำเป็น เพราะเป็นการฝึกระเบียบวินัยเด็กนักเรียน แต่หากรัฐบาลชุดใหม่ จะปรับเปลี่ยนอะไร ก็ควรรับฟังความเห็นให้รอบด้าน ไม่ใช่แค่เอาความคิดตัวเองเป็นที่ตั้ง

ในขณะที่ฝ่ายเรียกร้องให้ยกเลิกทั้งทรงผม และเครื่องแต่งกายนักเรียน โดยยกเอาประเทศพัฒนาแล้วมาเป็นตัวอย่าง ความจริงมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในฝรั่งเศส

ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ภริยาประธานาธิบดีฝรั่งเศส ซึ่งเป็นอดีตครูสอนโรงเรียนมัธยม กลับเห็นด้วยที่ฝ่ายค้านเสนอใช้เครื่องแบบนักเรียนทั่วประเทศ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นเรื่องบังคับในโรงเรียนรัฐทุกแห่ง โดยให้เหตุผลว่า ช่วยลดความแตกต่าง ประหยัดเวลาในการแต่งตัว ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนม และบอกด้วยว่า เธอชอบเครื่องแบบนักเรียน แต่สุดท้ายเรื่องนี้สภาฯของฝรั่งเศสตีตกไป ส่วนประเทศไทยจะได้ข้อยุติเรื่องนี้อย่างไร ลุ้นกันอีกทีหลังมีรัฐบาลใหม่