เฝ้าระวังโรคหัด เด็กแรกเกิด - 4 ขวบ ป่วยมากสุด อาการคล้ายไข้หวัด มีไข้ ไอแห้งๆ มีน้ำมูก และตาแดง

View icon 127
วันที่ 25 เม.ย. 2566
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
เฝ้าระวังโรคหัด ปีนี้พบป่วยแล้ว 79 คน เด็กแรกเกิดถึง4ขวบ ป่วยมากสุด อาการคล้ายไข้หวัด มีไข้ ไอแห้งๆ มีน้ำมูก และตาแดง หลังจากมีไข้ประมาณ 3–4 วัน จะเริ่มมีผื่นนูนแดงขึ้นที่ใบหน้าแล้วค่อยลามไปแขน-ขา
     

เฝ้าระวังโรคหัด วันนี้ (25 เม.ย.66) พยากรณ์โรคและภัยสุขภาพรายสัปดาห์ กรมควบคุมโรค เผยถึงสถานการณ์โรคหัดในประเทศไทย ในปี 65 มีรายงานผู้ป่วยโรคหัด 230 คน และในปี 66 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-19 เม.ย.66 พบว่ามีรายงานผู้ป่วยโรคหัด 79 คน คิดเป็นอัตราป่วย 0.12 ต่อแสนประชากร ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต

กลุ่มผู้ป่วยที่พบสูงสุด ได้แก่ กลุ่มทารกอายุแรกเกิด - 4 ขวบ 35.44 % กลุ่มอายุ 25-34 ปี 18.99 % และกลุ่มอายุ 35-44 ปี 16.46 % ตามลำดับ จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด 5 อันดับแรก คือ ยโสธร ภูเก็ต ยะลา นราธิวาส และกรุงเทพฯ ไม่พบการระบาดเป็นกลุ่มก้อน อย่างไรก็ตาม พบว่ามีการรายงานโรคหัดในต่างประเทศ ซึ่งเป็นผู้ป่วยมีประวัติเดินทางกลับจากประเทศไทย 2 คน
      
“คาดว่าในช่วงนี้จะมีโอกาสพบผู้ป่วยโรคหัดได้ เนื่องจากโรคหัดติดต่อผ่านทางเดินหายใจ ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายไข้หวัด คือ มีไข้ ไอแห้งๆ มีน้ำมูก และตาแดง หลังจากมีไข้ประมาณ 3–4 วัน จะเริ่มมีผื่นนูนแดงขึ้นที่ใบหน้า แล้วค่อยลามไปแขนและขา เมื่อผื่นขึ้นประมาณ 1-2 วัน ไข้จะเริ่มลดลง โดยในผู้ป่วยบางรายสามารถพบภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ สมองอักเสบ เป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตได้ 

โรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด (MMR) ตั้งแต่วัยเด็ก โดยแนะนำให้ฉีด 2 เข็ม เข็มแรกเมื่ออายุ 9 – 12 เดือน และเข็มที่สองตอนอายุ 2 ขวบครึ่ง จึงมักเกิดการระบาดในพื้นที่ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำกว่า 95% จึงขอแนะนำให้พาบุตรหลานเข้ารับวัคซีนตามเกณฑ์ที่กำหนด เมื่อมีอาการไข้ ไอ และผื่นขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ เมื่อได้รับการวินิจฉัยยืนยันโรคหัดแล้วควรหยุดเรียนหรือหยุดงานประมาณ 4 วันหลังจากผื่นขึ้น

ในสถานที่ที่มีผู้อาศัยอยู่แออัด เช่น เรือนจำ ค่ายทหาร ควรมีการคัดกรองและแยกพื้นที่สำหรับผู้ป่วยโรคหัดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค