รายงานพิเศษ : ย้อนคดีบุตรสาวอาม่าฮวย ยักยอกเงิน 262 ล้านบาท

View icon 156
วันที่ 30 ธ.ค. 2565
สนามข่าว 7 สี
แชร์
สนามข่าว 7 สี - คดีอาม่าฮวย ผ่านมาแล้ว 3 ปี เมื่อวานนี้เป็นการพิพากษาในสำนวนคดีที่ 2 ของศาลชั้นต้น เราจะลงสนามย้อนไปดูเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น รวมถึงผลคำพิพากษาที่ออกมาล่าสุดนี้ กับคุณดารินทิพย์ วิมลพัฒน์

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2562 นางฮวย ศรีวิรัตน์ หรืออาม่าฮวย ซึ่งอายุ 82 ปี เข้าร้องขอความช่วยเหลือกับ ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช หลังถูก นางมาวดี ศรีวิรัตน์ บุตรสาวแท้ ๆ ฉวยโอกาสช่วงที่มารดาป่วยเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ต้องเจาะคอ มือเท้าอ่อนแรง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เมื่อปี 2557 แอบปลอมเอกสารเปลี่ยนเงื่อนไขการเบิกถอนเงิน จากการลงลายมือชื่อ เป็นการพิมพ์ลายนิ้วมือ โดยร่วมมือกับพนักงานธนาคารเบิกถอนเงินออกจากบัญชีธนาคารหลายบัญชี และเงินในกองทุนไปอีกเป็นจำนวนมาก

หลังออกจากโรงพยาบาล อาม่าฮวย มารู้ว่าเงินในบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ หายไป 24 ล้านบาท และเมื่อตรวจสอบไปยังบัญชีอื่น ก็พบว่าเงินในบัญชีธนาคารกสิกรไทย หายไปอีก 2 บัญชี เป็นเงิน 111 ล้านบาท และ 97 ล้านบาท และเงินในกองทุนเปิดของบริษัทหลักทรัพย์ หายไปอีก 30 ล้านบาท รวมเป็นเงินที่หายไปกว่า 260 ล้านบาท

แต่เรื่องนี้ นางมาวดี ก็ยืนยันว่า เงินที่หายไปไม่ใช่การลักทรัพย์ แต่เป็นการรับทำธุรกรรมทางการเงินแทน เนื่องจากอาม่าฮวยป่วย และเรื่องนี้ก็ได้รับความยินยอมจากมารดาของตนเองแล้ว ส่วนเงินในบัญชี ยืนยันว่ามีแค่ประมาณ 120 ล้านเท่านั้น ซึ่งก็ได้นำเงินไปใช้รักษามารดา และแบ่งกับพี่ชายเป็นมรดก

เรื่องที่เกิดขึ้นถูกแยกออกเป็น 2 สำนวนคดี คดีแรก คือ คดีที่นางมาวดี ถอนเงินในบัญชี อาม่าฮวย 24 ล้านบาท เข้าบัญชีตัวเอง ไปซื้อกองทุนและประกันในนามของตัวเอง และลงทุนรีสอร์ต ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 12 ปี โดยไม่รอลงอาญา

ส่วนคดีล่าสุด เกี่ยวข้องกับการปลอมแปลงเอกสารธนาคาร ทยอยเบิกถอนเงินหลายครั้ง รวมความเสียหาย 238 ล้านบาท คดีนี้ศาลอาญาพระโขนง พิพากษาว่ามีความผิดจริงเช่นกัน สั่งจำคุก นางมาวดี ฐานลักทรัพย์ และปลอมเอกสารฯ รวม 88 กระทง เป็นเวลา 176 ปี จำคุกจริง 20 ปี ตามกฎหมาย และให้ชดใช้เงินคืนกว่า 123 ล้านบาท

ส่วนพนักงานธนาคาร อีก 4 คน ศาลพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 4 เพียงคนเดียว คือ นางทิพย์ภาพร แดงสวัสดิ์ ที่มีส่วนในการประทับลายนิ้วมือของนางฮวย ให้จำคุก 2 ปี, ส่วนจำเลยที่เหลือ ยังไม่มีพยานหลักฐานชัดเจน ให้ยกฟ้อง

จากจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ นับว่าผ่านมาแล้ว 8 ปี แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ถึงบทสรุปว่าจะจบลงอย่างไร เพราะคดีหนึ่งอยู่ระหว่างการฎีกา และคดีล่าสุดนี้ก็จะมีการยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดี