หนุ่มสุดซวย ทำบัตรประชาชนหาย โดนหมายจับ
ข่าวเย็นประเด็นร้อน - หนุ่มสุดซวย ร้องสายไหมต้องรอด ทำกระเป๋าเงินหาย มีคนเก็บได้และนำบัตรไปใช้ ต่อมามีหมายจับคดียาเสพติดตามมา สู้จนชนะคดี แต่ยังโดนซ้ำรอบสอง
นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด พาผู้เสียหายพร้อมด้วยภรรยาที่ตั้งครรภ์ 7 เดือน เข้าร้องขอความช่วยเหลือกับ นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง อธิบดีอัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี จากกรณีทำกระเป๋าเงินหาย แล้วถูกคนร้ายเอาไปใช้ ต่อมาถูกออกหมายจับคดียาเสพติด ซึ่งถูกส่งศาลแต่สุดท้ายศาลก็ยกฟ้อง เนื่องจากผู้ก่อเหตุกับเจ้าของบัตร เป็นคนละคน แต่แล้วก็ต้องช็อกซ้ำสอง เพราะถูกออกหมายจับอีกครั้งในคดีเดิม ที่ศาลยกฟ้องตั้งแต่ปี 2559 สุดท้ายปล่อยตัวกลับ
นายประจักษ์ อายุ 33 ปี ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตนเองทำกระเป๋าเงินหาย เมื่อปี 2557 ต่อมาปี 2559 มีคนร้ายถูกจับคดียาเสพติด โดยชุดจับกุมของ สน.วังทองหลาง และคนร้ายได้นำบัตรประชนของตนเองไปแสดงตน จากนั้นคนร้ายได้รับการประกันตัวในชั้นศาลและหลบหนีไป ศาลจึงออกหมายจับในชื่อผู้ตน ต่อมาปี 2564 ผู้เสียหายถูกตำรวจ สน.บางซื่อ ตามจับตัวได้ตามหมายจับ จึงได้รู้ว่าตนเองถูกคนร้ายเอาบัตรประชาชนของตนที่หายไปกับกระเป๋าเงินไปแอบอ้างเป็นตัวเอง ตนก็สู้คดีจนศาลยกฟ้อง เนื่องจากศาลเห็นว่าผู้ก่อเหตุที่ถูกจับกุมเป็นคนละคนกับเจ้าของบัตรประชาชน เพราะทั้งหน้าตา และลายพิมพ์นิ้วมือของตน ไม่ตรงกับผู้ต้องหา
ต่อมาวันที่ 24 มีนาคม ที่ผ่านมา ตำรวจชุดสืบนครบาล ได้บุกไปที่ทำงานของตน แจ้งกับหัวหน้างาน ว่ามาจับกุมตนตามหมายจับคดียาเสพติด แต่ไม่เจอตน เนื่องจากเป็นวันหยุด
จากนั้น ตำรวจได้โทรไปหาภรรยาของตนซึ่งตั้งครรภ์ 7 เดือน ตำรวจแจ้งว่า ตนเองซึ่งเป็นสามี มีหมายจับในคดียาเสพติด ให้เข้าไปมอบตัวด่วน ตนเองจึงรีบเดินทางไปมอบตัวกับตำรวจ ในวันที่ 25 มีนาคม 2568 พร้อมกับยืนยันความบริสุทธิ์ เมื่อตรวจสอบหมายจับพบว่าเป็นหมายใหม่ ที่เพิ่งออกเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2567 แต่เมื่อตรวจสอบเลขคดี พบว่าเป็นเลขคดีเดียวกันกับหมายจับปี 2559 ซึ่งศาลยกฟ้องในคดีนี้ไปแล้ว แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมแจ้งว่ามีหมายจับก็ต้องจับ
จากนั้น ชุดจับกุมได้นำตัวตนไปส่งศาล เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ศาลได้ตรวจสอบข้อมูล พบว่าเป็นคดีเก่าจริง ๆ จึงได้สอบถามชุดจับกุมว่า "ไปจับเขามาทำไม คดีมันจบไปแล้ว ศาลยกฟ้องแล้ว" และจากการตรวจสอบหน้าตาของตน กับผู้กระทำความผิด เป็นคนละคนกัน ลายพิมพ์นิ้วมือ ก็ไม่ตรงกัน จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ปล่อยตัวตนกลับมาบ้าน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้ตนรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม และกลัวว่าจะถูกออกหมายจับแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เพราะตอนนี้ตนเองกำลังจะเดินทางไปทำงานต่างประเทศ หากเกิดคดีความขึ้นมาอีก ก็เกรงว่าจะเสียสิทธิ์ในการทำงาน
นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง อธิบดีอัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี กล่าวว่า คดีนี้อาจบกพร่องตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน ที่ไม่ได้ตรวจสอบและยืนยันตัวตนผู้ต้องหาให้ชัดเจนตั้งแต่แรก เบื้องต้นจะช่วยเหลือผู้เสียหาย โดยการเขียนคำร้องต่อศาล ขอตรวจสำนวน ในกรณีถูกออกหมายจับในคดี เพื่อจะดูข้อมูลว่าตำรวจโรงพักใดเป็นผู้ไปยื่นขอศาลออกหมายจับ รอบที่สอง ว่าออกหมายจับด้วยสาเหตุใด ทั้งที่คดีความจบไปแล้ว เพราะหากเป็นตำรวจโรงพักเดิม ผู้เสียหายก็มีสิทธิ์แจ้งความ ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหายจากการถูกดำเนินคดี ซึ่งผู้เสียหายมีสิทธิ์ฟ้องร้อง ทั้งทางแพ่งและอาญา ส่วนตำรวจก็ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้ได้ ว่าความบกพร่องเกิดจากอะไร
ซึ่งเหตุการณ์ในลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก เพราะที่ผ่านมา เคยมีผู้เสียหายที่ถูกนำบัตรประชาชนไปใช้ แล้วถูกออกหมายจับเป็นจำนวนมาก ดังนั้น บัตรประชาชนเป็นสิ่งที่สำคัญ หากเกิดการสูญหาย ต้องแจ้งความ เพื่อเป็นการระมัดระวังตัวเอง
นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด พาผู้เสียหายพร้อมด้วยภรรยาที่ตั้งครรภ์ 7 เดือน เข้าร้องขอความช่วยเหลือกับ นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง อธิบดีอัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี จากกรณีทำกระเป๋าเงินหาย แล้วถูกคนร้ายเอาไปใช้ ต่อมาถูกออกหมายจับคดียาเสพติด ซึ่งถูกส่งศาลแต่สุดท้ายศาลก็ยกฟ้อง เนื่องจากผู้ก่อเหตุกับเจ้าของบัตร เป็นคนละคน แต่แล้วก็ต้องช็อกซ้ำสอง เพราะถูกออกหมายจับอีกครั้งในคดีเดิม ที่ศาลยกฟ้องตั้งแต่ปี 2559 สุดท้ายปล่อยตัวกลับ
นายประจักษ์ อายุ 33 ปี ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตนเองทำกระเป๋าเงินหาย เมื่อปี 2557 ต่อมาปี 2559 มีคนร้ายถูกจับคดียาเสพติด โดยชุดจับกุมของ สน.วังทองหลาง และคนร้ายได้นำบัตรประชนของตนเองไปแสดงตน จากนั้นคนร้ายได้รับการประกันตัวในชั้นศาลและหลบหนีไป ศาลจึงออกหมายจับในชื่อผู้ตน ต่อมาปี 2564 ผู้เสียหายถูกตำรวจ สน.บางซื่อ ตามจับตัวได้ตามหมายจับ จึงได้รู้ว่าตนเองถูกคนร้ายเอาบัตรประชาชนของตนที่หายไปกับกระเป๋าเงินไปแอบอ้างเป็นตัวเอง ตนก็สู้คดีจนศาลยกฟ้อง เนื่องจากศาลเห็นว่าผู้ก่อเหตุที่ถูกจับกุมเป็นคนละคนกับเจ้าของบัตรประชาชน เพราะทั้งหน้าตา และลายพิมพ์นิ้วมือของตน ไม่ตรงกับผู้ต้องหา
ต่อมาวันที่ 24 มีนาคม ที่ผ่านมา ตำรวจชุดสืบนครบาล ได้บุกไปที่ทำงานของตน แจ้งกับหัวหน้างาน ว่ามาจับกุมตนตามหมายจับคดียาเสพติด แต่ไม่เจอตน เนื่องจากเป็นวันหยุด
จากนั้น ตำรวจได้โทรไปหาภรรยาของตนซึ่งตั้งครรภ์ 7 เดือน ตำรวจแจ้งว่า ตนเองซึ่งเป็นสามี มีหมายจับในคดียาเสพติด ให้เข้าไปมอบตัวด่วน ตนเองจึงรีบเดินทางไปมอบตัวกับตำรวจ ในวันที่ 25 มีนาคม 2568 พร้อมกับยืนยันความบริสุทธิ์ เมื่อตรวจสอบหมายจับพบว่าเป็นหมายใหม่ ที่เพิ่งออกเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2567 แต่เมื่อตรวจสอบเลขคดี พบว่าเป็นเลขคดีเดียวกันกับหมายจับปี 2559 ซึ่งศาลยกฟ้องในคดีนี้ไปแล้ว แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมแจ้งว่ามีหมายจับก็ต้องจับ
จากนั้น ชุดจับกุมได้นำตัวตนไปส่งศาล เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ศาลได้ตรวจสอบข้อมูล พบว่าเป็นคดีเก่าจริง ๆ จึงได้สอบถามชุดจับกุมว่า "ไปจับเขามาทำไม คดีมันจบไปแล้ว ศาลยกฟ้องแล้ว" และจากการตรวจสอบหน้าตาของตน กับผู้กระทำความผิด เป็นคนละคนกัน ลายพิมพ์นิ้วมือ ก็ไม่ตรงกัน จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ปล่อยตัวตนกลับมาบ้าน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้ตนรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม และกลัวว่าจะถูกออกหมายจับแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เพราะตอนนี้ตนเองกำลังจะเดินทางไปทำงานต่างประเทศ หากเกิดคดีความขึ้นมาอีก ก็เกรงว่าจะเสียสิทธิ์ในการทำงาน
นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง อธิบดีอัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี กล่าวว่า คดีนี้อาจบกพร่องตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน ที่ไม่ได้ตรวจสอบและยืนยันตัวตนผู้ต้องหาให้ชัดเจนตั้งแต่แรก เบื้องต้นจะช่วยเหลือผู้เสียหาย โดยการเขียนคำร้องต่อศาล ขอตรวจสำนวน ในกรณีถูกออกหมายจับในคดี เพื่อจะดูข้อมูลว่าตำรวจโรงพักใดเป็นผู้ไปยื่นขอศาลออกหมายจับ รอบที่สอง ว่าออกหมายจับด้วยสาเหตุใด ทั้งที่คดีความจบไปแล้ว เพราะหากเป็นตำรวจโรงพักเดิม ผู้เสียหายก็มีสิทธิ์แจ้งความ ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหายจากการถูกดำเนินคดี ซึ่งผู้เสียหายมีสิทธิ์ฟ้องร้อง ทั้งทางแพ่งและอาญา ส่วนตำรวจก็ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้ได้ ว่าความบกพร่องเกิดจากอะไร
ซึ่งเหตุการณ์ในลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก เพราะที่ผ่านมา เคยมีผู้เสียหายที่ถูกนำบัตรประชาชนไปใช้ แล้วถูกออกหมายจับเป็นจำนวนมาก ดังนั้น บัตรประชาชนเป็นสิ่งที่สำคัญ หากเกิดการสูญหาย ต้องแจ้งความ เพื่อเป็นการระมัดระวังตัวเอง
Gallery

