กลุ่มชาวบ้าน ร้องสภาทนายความช่วยเหลือคดี ถูกวัดดังอยุธยาฟ้องหมิ่นฯ-บุกรุก
นายกสภาทนายฯ รับเรื่องร้องทุกข์ กลุ่มชาวบ้าน ขอความช่วยเหลือคดีถูกวัดดังอยุธยาฟ้องหมิ่นฯ-บุกรุก หลังรวมตัวทวงถามเรื่องบริจาค-ปมพระข่มขืนเด็ก
วันนี้ (6 ม.ค.68) ที่สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ถนนพหลโยธิน นายสุรชาติ อายุ 65 ปี พร้อมชาวบ้าน 20 คน จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งถูกทางเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นโจทก์ฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาท, ร่วมกันหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา, ร่วมกันทำให้เกิดเสียงหรือกระทำความอื้ออึง, ร่วมกันก่อความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะและบุกรุกโดยร่วมกระทำความผิดกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยานัดไต่สวนมูลฟ้อง วันที่ 20 ม.ค.68 ได้เข้ามาขอความช่วยเหลือทางคดีกับนายวิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ
นายสุรชาติ กล่าวว่า เหตุเกิดเมื่อช่วงเย็นวันที่ 18 มี.ค.67 มีพระลูกวัดทำร้ายร่างกายและทำอนาจารเด็กชาวเขา รวมถึงถ่ายภาพโป๊เปลือยเด็กเก็บไว้ เมื่อผู้ปกครองของเด็กทราบเรื่องได้แจ้งความดำเนินคดีกับพระรูปดังกล่าว ต่อมาพระรูปดังกล่าวได้ลาสึก แต่ชาวบ้านไม่พอใจออกมารวมตัวกันที่บริเวณวัด เมื่อวันที่ 22 ก.ค.67 เพื่อให้ทางวัดชี้แจงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว รวมถึงเรื่องความโปร่งใสเรื่องเงินบริจาคของวัด และความผิดปกติของวัดที่มีผู้หญิงเข้าออกวัดเป็นประจำทั้งกลางวันและกลางคืน แต่กลับมีพระบางรูปและชายฉกรรจ์ออกมาขับไล่ชาวบ้าน ทำให้เกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทกัน เจ้าอาวาสได้มอบอำนาจให้ผู้แทนฟ้องดำเนินคดีกับตนและชาวบ้านรวม 28 คน
นายสุรชาติ กล่าวอีกว่า ตนกับพวก 28 คน รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม และได้รับความเดือดร้อน ไม่มีเงินในการต่อสู้คดี จึงขอความช่วยเหลือจากสภาทนายความในการช่วยเหลือด้านคดี ซึ่งที่ผ่านมามีการทวงถามกับทางเจ้าอาวาสมาแล้ว แต่เจ้าอาวาสบ่ายเบี่ยงมาตลอด ทำให้ชาวบ้านรวมตัวกันไปยกป้ายถามที่วัด ไม่มีเจตนาไปบุกรุก หลังถูกฟ้องได้ไปขอคำปรึกษาที่ยุติธรรมจังหวัด สำนักอัยการคุ้มครองสิทธิ และสำนักพุทธศาสนา แต่ได้รับคำแนะนำให้ชาวบ้านอยู่เฉย ๆ ใจเย็น แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จึงต้องมาพึ่งสภาทนายความ
ส่วนสาเหตุที่ชาวบ้านสงสัยเกี่ยวกับเรื่องเงินบริจาคของวัด เนื่องจากสมัยที่วัดยังไม่ดังมีรายได้อยู่ประมาณ 400,000 บาทต่อเดือน พอวัดเริ่มมีชื่อเสียงดังขึ้นมีรายได้เฉลี่ยหลักล้านบาท โดยมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้รับความไว้วางใจจากเจ้าอาวาสในการดูแลเงินบริจาค รวมถึงเงินผ้าป่ากฐินที่ไม่เคยมีการบอกยอดตัวเลขรายได้ ทำให้ชาวบ้านเกิดข้อสงสัย เมื่อสอบถามเจ้าอาวาสทราบว่าเป็นจิตอาสามาช่วยดูแลงานของวัด แต่พวกชาวบ้านสงสัยว่า ทำไมจิตอาสาท่านนี้ถึงมาทำงานกับวัดที่มีรายได้มาก ไม่ไปช่วยเหลือวัดที่ไม่มีรายได้ทั้ง ๆ ที่ขับรถยุโรปราคาแพง
ขณะที่นายวิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ กล่าวว่า สภาทนายความจะรับเรื่องและให้การช่วยเหลือทางด้านกฎหมายต่อไป โดยจะพิจารณาให้ทันเพื่อเข้าช่วยเหลือทันวันนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 20 ม.ค.นี้ ในส่วนเจ้าอาวาสถือว่ามีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย แต่ในส่วนที่มีการระบุว่าเจ้าอาวาสให้คนไปไกล่เกลี่ยคดีอดีตพระลูกวัดข่มขืนจะมีความผิดต่อหน้าที่หรือไม่ยังไม่สามารถบอกได้ เพราะเท่าที่ทราบจากชาวบ้านอดีตพระคนดังกล่าวก็ถูกดำเนินคดีไปแล้ว แต่ทางสภาทนายความก็พร้อมจะติดตามดำเนินคดีที่เด็กถูกล่วงเกินด้วย หากชาวบ้านทราบข้อมูลอะไรก็ส่งมาได้ ส่วนกรณีเลวร้ายหากศาลประทับรับฟ้องทางสภาทนายความจะปรึกษากันเรื่องประกันตัวอีกที ซึ่งอาจจะใช้วิธีการทำสัญญาประกัน โดยไม่ต้องวางหลักทรัพย์
ด้าน นายสุนทร พยัคฆ์ เลขาธิการสภาทนายความ กล่าวว่า ทางสภาทนายความพร้อมจัดหาทนายความที่มีความสามารถในคดีลักษณะดังกล่าวเข้ามาช่วยเหลืออย่าเต็มที่ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
วันนี้ (6 ม.ค.68) ที่สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ถนนพหลโยธิน นายสุรชาติ อายุ 65 ปี พร้อมชาวบ้าน 20 คน จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งถูกทางเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นโจทก์ฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาท, ร่วมกันหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา, ร่วมกันทำให้เกิดเสียงหรือกระทำความอื้ออึง, ร่วมกันก่อความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะและบุกรุกโดยร่วมกระทำความผิดกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยานัดไต่สวนมูลฟ้อง วันที่ 20 ม.ค.68 ได้เข้ามาขอความช่วยเหลือทางคดีกับนายวิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ
นายสุรชาติ กล่าวว่า เหตุเกิดเมื่อช่วงเย็นวันที่ 18 มี.ค.67 มีพระลูกวัดทำร้ายร่างกายและทำอนาจารเด็กชาวเขา รวมถึงถ่ายภาพโป๊เปลือยเด็กเก็บไว้ เมื่อผู้ปกครองของเด็กทราบเรื่องได้แจ้งความดำเนินคดีกับพระรูปดังกล่าว ต่อมาพระรูปดังกล่าวได้ลาสึก แต่ชาวบ้านไม่พอใจออกมารวมตัวกันที่บริเวณวัด เมื่อวันที่ 22 ก.ค.67 เพื่อให้ทางวัดชี้แจงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว รวมถึงเรื่องความโปร่งใสเรื่องเงินบริจาคของวัด และความผิดปกติของวัดที่มีผู้หญิงเข้าออกวัดเป็นประจำทั้งกลางวันและกลางคืน แต่กลับมีพระบางรูปและชายฉกรรจ์ออกมาขับไล่ชาวบ้าน ทำให้เกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทกัน เจ้าอาวาสได้มอบอำนาจให้ผู้แทนฟ้องดำเนินคดีกับตนและชาวบ้านรวม 28 คน
นายสุรชาติ กล่าวอีกว่า ตนกับพวก 28 คน รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม และได้รับความเดือดร้อน ไม่มีเงินในการต่อสู้คดี จึงขอความช่วยเหลือจากสภาทนายความในการช่วยเหลือด้านคดี ซึ่งที่ผ่านมามีการทวงถามกับทางเจ้าอาวาสมาแล้ว แต่เจ้าอาวาสบ่ายเบี่ยงมาตลอด ทำให้ชาวบ้านรวมตัวกันไปยกป้ายถามที่วัด ไม่มีเจตนาไปบุกรุก หลังถูกฟ้องได้ไปขอคำปรึกษาที่ยุติธรรมจังหวัด สำนักอัยการคุ้มครองสิทธิ และสำนักพุทธศาสนา แต่ได้รับคำแนะนำให้ชาวบ้านอยู่เฉย ๆ ใจเย็น แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จึงต้องมาพึ่งสภาทนายความ
ส่วนสาเหตุที่ชาวบ้านสงสัยเกี่ยวกับเรื่องเงินบริจาคของวัด เนื่องจากสมัยที่วัดยังไม่ดังมีรายได้อยู่ประมาณ 400,000 บาทต่อเดือน พอวัดเริ่มมีชื่อเสียงดังขึ้นมีรายได้เฉลี่ยหลักล้านบาท โดยมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้รับความไว้วางใจจากเจ้าอาวาสในการดูแลเงินบริจาค รวมถึงเงินผ้าป่ากฐินที่ไม่เคยมีการบอกยอดตัวเลขรายได้ ทำให้ชาวบ้านเกิดข้อสงสัย เมื่อสอบถามเจ้าอาวาสทราบว่าเป็นจิตอาสามาช่วยดูแลงานของวัด แต่พวกชาวบ้านสงสัยว่า ทำไมจิตอาสาท่านนี้ถึงมาทำงานกับวัดที่มีรายได้มาก ไม่ไปช่วยเหลือวัดที่ไม่มีรายได้ทั้ง ๆ ที่ขับรถยุโรปราคาแพง
ขณะที่นายวิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ กล่าวว่า สภาทนายความจะรับเรื่องและให้การช่วยเหลือทางด้านกฎหมายต่อไป โดยจะพิจารณาให้ทันเพื่อเข้าช่วยเหลือทันวันนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 20 ม.ค.นี้ ในส่วนเจ้าอาวาสถือว่ามีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย แต่ในส่วนที่มีการระบุว่าเจ้าอาวาสให้คนไปไกล่เกลี่ยคดีอดีตพระลูกวัดข่มขืนจะมีความผิดต่อหน้าที่หรือไม่ยังไม่สามารถบอกได้ เพราะเท่าที่ทราบจากชาวบ้านอดีตพระคนดังกล่าวก็ถูกดำเนินคดีไปแล้ว แต่ทางสภาทนายความก็พร้อมจะติดตามดำเนินคดีที่เด็กถูกล่วงเกินด้วย หากชาวบ้านทราบข้อมูลอะไรก็ส่งมาได้ ส่วนกรณีเลวร้ายหากศาลประทับรับฟ้องทางสภาทนายความจะปรึกษากันเรื่องประกันตัวอีกที ซึ่งอาจจะใช้วิธีการทำสัญญาประกัน โดยไม่ต้องวางหลักทรัพย์
ด้าน นายสุนทร พยัคฆ์ เลขาธิการสภาทนายความ กล่าวว่า ทางสภาทนายความพร้อมจัดหาทนายความที่มีความสามารถในคดีลักษณะดังกล่าวเข้ามาช่วยเหลืออย่าเต็มที่ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด