แห่กดเงินหมื่นเกลี้ยงตู้เอทีเอ็ม

วันที่ 26 ก.ย. 2567
ข่าวการประกวด
ข่าวเย็นประเด็นร้อน - วันนี้ (26 ก.ย.) ถือเป็นการแจกเงิน 10,000 บาท วันที่ 2 ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ยังคงมีประชาชนแห่รอไปกดเงินจำนวนมากตั้งแต่เช้ามืด เรียกว่าคนกดเงินเยอะมาก จนเงินหมดตู้เอทีเอ็ม

แห่กดเงินหมื่นเกลี้ยงตู้เอทีเอ็ม จ.บุรีรัมย์
ประชาชนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จากหลายตำบลในอำเภอเมือง และอำเภอใกล้เคียง จังหวัดบุรีรัมย์ แห่นำบัตรเอทีเอ็ม มาต่อแถวเพื่อรอถอนเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาบุรีรัมย์ เรียกว่า ต่อคิวกันยาวเหยียดจนล้นมาถึงถนนตั้งแต่เช้า ทำให้เงินในตู้เอทีเอ็มบางตู้หมด เจ้าหน้าที่ต้องเปิดตู้ นำเงินมาเติมเพิ่มอีก คาดว่าวันนี้น่าจะเติมเงินอีก 2 ครั้ง เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน

ส่วนผู้ที่ไม่มีบัตรเอทีเอ็ม เจ้าหน้าที่ก็ตั้งโต๊ะอำนวยความสะดวกให้เขียนใบเบิกถอนด้านนอก ก่อนถือสมุดบัญชีและใบเบิกถอนเข้าไปรอคิวถอนด้านในธนาคาร เพื่อรวดเร็วมากขึ้น ส่วนใหญ่จะถอนทั้งหมด 10,000 บาท เพื่อนำไปใช้จ่ายในครอบครัว ซื้อปุ๋ยใส่นาข้าว และชำระหนี้นอกระบบที่กู้ยืมมา

คุณตาวีระ อายุ 74 ปี ซึ่งนั่งรถสองแถวมาเข้าคิวรอตั้งแต่ 07.00 น. แต่พอถึงคิวให้เจ้าหน้าที่ช่วยใช้บัตรเอทีเอ็มกดถอนเงินให้ แต่พบว่าบัตรหมดอายุ คุณตาจึงยังไม่สามารถถอนเงินได้ จึงต้องไปต่อคิวเพื่อทำบัตรเอทีเอ็มใหม่ เพราะตั้งใจว่าจะถอนเงินไปซื้อข้าวสาร อาหารแห้งไว้บริโภค เพราะไม่มีรายได้อะไรมีเพียงเบี้ยคนชราเดือนละ 700 บาท

เงินเกลี้ยงตู้หลายสาขา ชาวบ้านแห่ถอนเงิน จ.สกลนคร
ส่วนที่ธนาคาร ธ.ก.ส. สาขาสกลนคร อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร บรรยากาศไม่ต่างกัน มีประชาชนเดินทางมาต่อแถวเข้าคิวหน้าตู้กดเงินเอทีเอ็มจำนวนมาก จนเงินหมดตู้เหมือนกัน และไม่ได้หมดแค่ที่นี่ เพราะธนาคาร ธ.ก.ส.หลายสาขาในพื้นที่จังหวัดสกลนคร มีชาวบ้านมากดเงินกันอย่างคึกคักจนเงินในตู้เอทีเอ็มหมดอย่างรวดเร็วเช่นกัน

อย่าง นางมาลาศรี อายุ 70 ปี ชาวบ้านโคกลาย อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร บอกว่า เดินทางเข้าเมืองมา 40 กิโลเมตร เพื่อกดเงิน 10,000 บาท ไว้ใช้จ่ายในครัวเรือนและเก็บไว้ซื้อข้าวสารอาหารแห้ง

ขณะที่ นางนิสา โชว์สมุดบัญชีที่มีเงินเข้ามา 10,000 บาท พร้อมบอกว่า รู้สึกดีใจที่ได้รับเงินจำนวนนี้เพราะทั้งบ้านเหลือเงินอยู่เพียง 700 กว่าบาท จะนำเงินไปใช้ซื้อของที่จำเป็น

ต่อคิวกดเงินล้นธนาคาร ตา-ยายเศร้าอดเงินหมื่น จ.ลพบุรี
ส่วนที่ธนาคารออมสิน สาขาลำนารายณ์ และธนาคาร ธ.ก.ส. สาขาลำนารายณ์ จังหวัดลพบุรี ก็มีประชาชนผู้มีบัตรสวัสดิแห่งรัฐบาลจำนวนมาก เดินทางมาติดต่อถอนเงิน 10,000 บาท

ส่วน นายประเสริฐ อายุ 87 ปี ที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ กับ นางประทุม อายุ 75 ปี ชาวอำเภอชัยบาดาล 2 สามีภรรยา ต้องเศร้า เพราะมาตรวจสอบแล้วยังไม่ได้รับเงิน เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องรอโอนรอบหน้า นางประทุมเล่าว่า ตั้งแต่ 06.00 น. เหมารถ 3 ล้อ จากบ้านให้มาส่งยังที่ธนาคาร ธ.ก.ส. สาขาลำนารายณ์ ในราคา 300 บาท นั่งรอคิวหลายชั่วโมง แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ทั้งคู่ไม่มีรายชื่อได้รับเงิน 10,000 บาท จึงรู้สึกผิดหวังและเสียใจเป็นอย่างมาก เพราะหวังว่าจะนำไปซ่อมแซมบ้านและซื้อข้าวปลาอาหาร ก่อนเดินทางกลับบ้านด้วยความผิดหวัง

โอนเงินหมื่นวันแรกไม่สำเร็จ 49,383 คน
มีรายงานจากกระทรวงการคลัง ถึงยอดการโอนเงินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท วันแรก (25 ก.ย.) 3.17 ล้านคน พบปัญหาการโอนไม่สำเร็จ 49,383 ราย แบ่งเป็นผู้พิการโอนไม่ได้ 8,829 ราย และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เลขบัตรประชาชนลงท้ายด้วยเลข 0 อีก 40,554 ราย

สาเหตุส่วนใหญ่ของผู้พิการ คือ บัตรหมดอายุและไม่ได้ทำบัตร ส่วนของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนั้น มาจากหลายสาเหตุ เช่น บัญชีเงินฝากถูกปิด บัญชีไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน บางบัญชีไม่มีการทำบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขบัตรประชาชน บางส่วนไม่มีเลขบัญชี หรือเลขบัญชีผิด

จึงขอให้คนที่ตกหล่นไม่ได้รับเงิน ขอให้ผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชน และตรวจสอบบัญชีเงินฝากธนาคารให้มีสถานะปกติ เช่นเดียวกับผู้พิการ ต้องต่ออายุบัตร หรือ ทำบัตรประจำตัวคนพิการให้แล้วเสร็จตามเวลาที่กำหนด

หลังจากนี้จะมีการโอนซ้ำให้อีก 3 ครั้ง ได้แก่ รอบจ่ายซ้ำ ครั้งที่ 1 จ่ายภายในวันที่ 22 ตุลาคม 2567 จะต้องทำบัตร หรือ ต่ออายุบัตรประจำตัว คนพิการภายในวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนภายในวันที่ 18 ตุลาคม 2567, รอบจ่ายซ้ำ ครั้งที่ 2 จ่ายภายในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 และรอบจ่ายซ้ำ ครั้งที่ 3 จ่ายภายในวันที่ 22 ธันวาคม 2567

ในส่วนของวันพรุ่งนี้ (27 ก.ย.) จะโอนเงินให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีเลขประจำตัวประชาชนลงท้ายด้วยเลข 4-7 ประมาณ 4.51 ล้านคน และเลขประจำตัวประชาชนลงท้าย 8-9 ประมาณ 2.25 ล้านคน ในวันที่ 30 กันยายน 2567

ขณะที่ในโซเชียล หลังจากมีคนโพสต์ได้รับเงินหมื่นจำนวนมาก ทำให้คนที่เป็นเจ้าหนี้ต่างโพสต์ทวงหนี้ลูกหนี้ ว่า ได้รับเงินหมื่นมาแล้ว มีเงินก็ต้องใช้หนี้ บางคนก็บอกว่า แจกเงินหมื่นน่าจะเรียกโครงการแก้หนี้นอกระบบ เพราะเห็นคนที่ได้เกือบทั้งหมด เอาเงินที่ได้มากกว่าครึ่งไปจ่ายหนี้นอกระบบ บางคนก็บอกว่า เงินออกปุ๊บ เจ้าหนี้มารอเก็บเงินเลย บางคนบอกว่า เจ้าหนี้ตามประกบลูกหนี้ทันทีที่ได้เงินหมื่น

อนุทิน ลั่นรวบทันทีเจ้าหนี้ยืนขู่ลูกหนี้หน้าตู้
เรื่องนี้นักข่าวนำไปถาม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย บอกว่า ถ้ามีเจ้าหนี้ไปยืนประกบลูกหนี้ที่ได้รับเงินหมื่นจากรัฐบาล หน้าตู้เอทีเอ็ม ตำรวจต้องไปรวบตรงนั้นเลย เพราะในทางกฎหมายทำไม่ได้ ตำรวจต้องดู เจ้าหนี้จะไปประกบ จะไปยืนคุกคามประชาชนทั่วไปไม่ได้ เรื่องนี้ตำรวจรับทราบอยู่ เรามีมาตรการไม่ให้มีการข่มขู่ หลายคนได้ปรับมาเป็นหนี้ในระบบแล้ว ซึ่งเรื่องการข่มขู่ข่มเหง ถ้ามีเมื่อไรต้องแจ้งเจ้าหน้าที่

ภูมิธรรม ยันจ่ายแน่เงินหมื่นเฟส 2 โต้ปมซื้อเสียง
ขณะที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงประเด็นที่มีเจ้าหนี้นอกระบบมารอเก็บเงินจากกลุ่มเปราะบางที่ได้รับเงินหมื่นว่า หากมีอะไรกระทบ ก็จะพิจารณาหาทางแก้ไข แต่การจ่ายหนี้ถือเป็นดุลยพินิจ และเป็นสิทธิของประชาชน

ส่วนการแจกเงินหมื่นเฟส 2 นายภูมิธรรมยืนยันว่า จะจ่ายเงินให้กับคนที่ลงทะเบียนไว้แล้วทั้งหมด แต่ขณะนี้ขอจ่ายกลุ่มแรก 14.5 ล้านคนก่อน เพราะถือเป็นกลุ่มเปราะบางที่น่าเห็นใจที่สุด และรัฐบาลจะช่วยเหลือไปตามลำดับ ซึ่งวันนี้ก็จ่ายให้เห็นแล้ว แม้ที่ผ่านมาจะถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตลอด เมื่อถามว่า ภายในปี 2567 นี้เฟส 2 จะได้หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า เราก็ทำไม่หยุด แต่จะได้เมื่อไร เดี๋ยวก็เห็น พร้อมยืนยันว่า เราทำไม่หยุด ทำทุกวัน

ภูมิธรรม ยันไม่ห่วง ปมร้องแจกเงินหมื่นซื้อเสียง
ส่วนกรณีที่มีคนจะนำการแจกเงินหมื่นไปร้องเรียนกับองค์กรอิสระว่าเป็นการซื้อเสียงหรือไม่นั้น นายภูมิธรรมบอกว่า รัฐบาลไม่กังวล เพราะประเด็นคือ รัฐบาลพยายามจะแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ถ้าฟังตามเสียงวิจารณ์ เงินก็ไม่ออกสักที ประชาชนก็จะยิ่งแย่ จึงควรเอาประชาชนเป็นหลักให้มากที่สุด อย่าหยิบทุกปัญหาขึ้นมา เพราะจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย

พิพัฒน์ ยันตั้งใจปรับค่าแรง 400 บาทใน ต.ค.นี้
ส่วนความคืบหน้าเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาททั่วประเทศ วันนี้ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แเทนราษฎร นายเซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้ตั้งกระทู้ถาม นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เรื่องที่เคยประกาศว่า จะปรับขึ้นค่าแรงขั่นต่ำทั่วประเทศเป็น 400 บาทต่อวัน แน่นอนในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 แต่ก็เทผู้ใช้แรงงานมาแล้วหลายครั้ง เพราะการประชุมคณะกรรมการค่าจ้างล่ม ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือเป็นการวางแผนเล่นละครตบตาพี่น้องผู้ใช้แรงงาน

ด้านนายพิพัฒน์ชี้แจงว่า ยืนยันว่า มุ่งมั่งตั้งใจจะปรับค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ซึ่งเจตนารมย์ของรัฐบาลตั้งแต่ นายเศรษฐา ทวีสิน กำหนดไว้ในนโยบายว่า จะปรับค่าแรงขั้นต่ำที่ 600 บาท ในปี 2570 ซึ่งตนยึดถือมาโดยตลอด แต่การประชุมไตรภาคีพิจารณาเรื่องค่าจ้าง หากผู้เข้าร่วมประชุมไม่ครบ 2 ใน 3 ก็เปิดประชุมไม่ได้ เป็นเรื่องนอกเหนือสิ่งที่ตนกำกับได้ เพราะไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้

เรามีความมุ่งมั่นก้าวแรกให้จบก่อน คือ ค่าแรงขั้นต่ำให้จบที่ 400 บาท ในเดือนตุลาคมนี้ จากนั้นช่วงสิ้นปีต่อเนื่องปี 2568 จะประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเฉพาะเอสเอ็มอีอีกครั้ง

Gallery