เพชรสังเคราะห์เจาะตลาดคนรุ่นใหม่

#เศรษฐศาสตร์ตลาดสด ความนิยมเครื่องประดับที่ทำมาจากเพชรสังเคราะห์ในตลาดคนรุ่นใหม่ขยายตัวมากขึ้น ทั้งในเอเชียและยุโรป เนื่องจากราคาถูกกว่าเพชรธรรมชาติประมาณร้อยละ 40-60 ในปัจจุบันจีนเป็นประเทศที่เป็นผู้ผลิตเพชรสังเคราะห์รายใหญ่ที่สุดของโลก รองลงมาคือ อินเดียทั้งสองประเทศครองสัดส่วนผู้ผลิตเพชรสังเคราะห์มากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก
“เพชรสังเคราะห์คืออะไร” กระบวนการที่นิยมใช้ทำเพชรสังเคราะห์ (Lab-Grown Diamond: LGD) ที่ได้ผลิตเพชรที่มีคุณสมบัติเหมือนเพชรธรรมชาติแท้ ซึ่งมี 2 แบบ คือ แบบที่หนึ่งใช้วิธี High Pressure High Temperature (HPHT) ซึ่งเป็นวิธีจำลองแรงกดดัน และอุณหภูมิความร้อน ให้เหมือนการเกิดขึ้นของเพชรใต้ดินตามธรรมชาติ เพื่อสังเคราะห์เพชรขึ้นมา และ แบบที่สอง คือ ใช้วิธี Chemical Vapor Deposition (CVD)
เป็นวิธีที่ใช้แก๊สคาร์บอน และทำให้อะตอมของคาร์บอนแตกตัวออกมาเป็นผลึกเพชร
เพชรสังเคราะห์ไม่ใช่เพชรปลอม และไม่จัดเป็นเพชรเลียนแบบเหมือนกับพวกเพชร CZ (Cubic Zirconia) และมอยส์ซอไนต์ (Moissanite) เพชรสังเคราะห์มีคุณสมบัติความแข็งแกร่งทนทานเหมือนเพชรธรรมชาติ แต่ที่สำคัญไม่สามารถขายหรือลงทุนได้มีมูลค่าได้เหมือนเพชรธรรมชาติ
“คุณสมบัติระหว่างเพชรแท้และเพชรสังเคราะห์” เพชรแท้และเพชรสังเคราะห์มีการจัดเกรดตามหลัก 4Cs เช่นเดียวกัน ได้แก่ ความใส (Clarity) สี (Color) การเจียระไน (Cut) และกะรัต (Carat) ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานในการประเมินคุณภาพและมูลค่าของเพชรที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ทั้งเพชรแท้และเพชรสังเคราะห์มีองค์ประกอบทางเคมีเหมือนกัน คุณสมบัติของเพชรธรรมชาติ จะมีความแข็งอยู่ที่ 10 เพชร CZ จะมีความแข็งอยู่ที่ 8.5 และมอยส์ซอไนต์จะอยู่ที่ 9.25ในขณะที่เพชรสังเคราะห์จะมีความแข็งอยู่ที่ 10 เช่นเดียวกับเพชรธรรมชาติ ดังนั้นจะทนทานต่อการขีดข่วนได้ดี จึงนิยมนำมาทำเป็นเครื่องประดับ แหวนหมั้นและแหวนแต่งงาน
“เจาะตลาดคนรุ่นใหม่ทั่วโลก” เนื่องจากเพชรสังเคราะห์มีราคาที่ถูกกว่าเพชรแท้ประมาณ 5 เท่า ประชากรกลุ่มมิลเลนเนียลหรือกลุ่มเจนเนอเรชันวาย (Gen Y) และกลุ่มเจนเนอเรชันซี (Gen Z) ซึ่งถือเป็นกลุ่มวัยทำงานและวัยหนุ่มสาวนิยมซื้อเครื่องประดับที่ทำจากเพชรสังเคราะห์มากขึ้น ข้อมูลจาก Bain & Company ระบุว่า ตลาดเพชรสังเคราะห์เติบโตขึ้นประมาณร้อยละ 15-20 ในปี 2019 และคาดว่าภายในปี 2025 ตลาดเครื่องประดับ ที่ใช้เพชรสังเคราะห์จะเติบโตขึ้นเกือบ 2 เท่า คิดเป็นมูลค่าเกือบ 140,000 ล้านบาท
ตัวอย่าง ประเทศอินเดียกำลังให้ความสนใจเพชรสังเคราะห์มากขึ้นเรื่อย ๆ นิยมใช้ในการทำเป็นเครื่องประดับ แหวนหมั้น แหวนแต่งงาน ข้อมูลจาก Limelight Diamonds หนึ่งในแบรนด์เครื่องประดับจากเพชรสังเคราะห์รายใหญ่ที่สุดของอินเดีย ระบุว่า เพชรแท้มีราคาประมาณ 6,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อกะรัต ส่วนเพชรสังเคราะห์มีราคาเพียง 1,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อกะรัต นอกจากนี้แบรนด์เครื่องประดับใหญ่อย่าง Pandoraใช้เพชรสังเคราะห์มากขึ้น
สำหรับการขยายตัวในตลาดยุโรป อ้างอิงกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศระบุว่า แนวโน้มตลาดที่นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมเพชรระดับโลกได้มีการประเมินว่าตลาดเครื่องประดับเพชร LGD จะขยายตัวจากมูลค่า 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 5.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ เติบโตในอัตราร้อยละ 22 และสัดส่วนจะเพิ่มเป็นร้อยละ 5 ของมูลค่ารวมในตลาดเพชรโลก โดยเฉพาะอิตาลี อังกฤษ และ เยอรมนี รวมถึงในออสเตรเลีย ปัจจัยที่สนับสนุนส่วนหนึ่งมองว่าการใช้เพชรสังเคราะห์ ถือเป็นการช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติโดยไม่จําเป็นแทนอุตสาหกรรมขุดเพชรธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมเพชรและอัญมณีธรรมชาติได้ให้ความสำคัญกับเป้าหมายด้านการชดเชยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ การที่ผู้ผลิตเพชรใช้คาร์บอนลดลง เช่น โอกาสที่จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลแล้วหันมาใช้เชื้อเพลิงทดแทนในกระบวนการผลิตและการคมนาคมขนส่งโลจิสติกส์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการผลิตเพชรจะปล่อยคาร์บอนออกมาจากการใช้แหล่งพลังงานไฟฟ้าทั่วไป
อุตสาหกรรมเพชรสังเคราะห์เป็นอีกเทรนด์ที่สามารถเจาะกลุ่มตลาดคนรุ่นใหม่ในหลายประเทศทั้งเอเชียและยุโรป
“เพชรสังเคราะห์คืออะไร” กระบวนการที่นิยมใช้ทำเพชรสังเคราะห์ (Lab-Grown Diamond: LGD) ที่ได้ผลิตเพชรที่มีคุณสมบัติเหมือนเพชรธรรมชาติแท้ ซึ่งมี 2 แบบ คือ แบบที่หนึ่งใช้วิธี High Pressure High Temperature (HPHT) ซึ่งเป็นวิธีจำลองแรงกดดัน และอุณหภูมิความร้อน ให้เหมือนการเกิดขึ้นของเพชรใต้ดินตามธรรมชาติ เพื่อสังเคราะห์เพชรขึ้นมา และ แบบที่สอง คือ ใช้วิธี Chemical Vapor Deposition (CVD)
เป็นวิธีที่ใช้แก๊สคาร์บอน และทำให้อะตอมของคาร์บอนแตกตัวออกมาเป็นผลึกเพชร
เพชรสังเคราะห์ไม่ใช่เพชรปลอม และไม่จัดเป็นเพชรเลียนแบบเหมือนกับพวกเพชร CZ (Cubic Zirconia) และมอยส์ซอไนต์ (Moissanite) เพชรสังเคราะห์มีคุณสมบัติความแข็งแกร่งทนทานเหมือนเพชรธรรมชาติ แต่ที่สำคัญไม่สามารถขายหรือลงทุนได้มีมูลค่าได้เหมือนเพชรธรรมชาติ
“คุณสมบัติระหว่างเพชรแท้และเพชรสังเคราะห์” เพชรแท้และเพชรสังเคราะห์มีการจัดเกรดตามหลัก 4Cs เช่นเดียวกัน ได้แก่ ความใส (Clarity) สี (Color) การเจียระไน (Cut) และกะรัต (Carat) ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานในการประเมินคุณภาพและมูลค่าของเพชรที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ทั้งเพชรแท้และเพชรสังเคราะห์มีองค์ประกอบทางเคมีเหมือนกัน คุณสมบัติของเพชรธรรมชาติ จะมีความแข็งอยู่ที่ 10 เพชร CZ จะมีความแข็งอยู่ที่ 8.5 และมอยส์ซอไนต์จะอยู่ที่ 9.25ในขณะที่เพชรสังเคราะห์จะมีความแข็งอยู่ที่ 10 เช่นเดียวกับเพชรธรรมชาติ ดังนั้นจะทนทานต่อการขีดข่วนได้ดี จึงนิยมนำมาทำเป็นเครื่องประดับ แหวนหมั้นและแหวนแต่งงาน
“เจาะตลาดคนรุ่นใหม่ทั่วโลก” เนื่องจากเพชรสังเคราะห์มีราคาที่ถูกกว่าเพชรแท้ประมาณ 5 เท่า ประชากรกลุ่มมิลเลนเนียลหรือกลุ่มเจนเนอเรชันวาย (Gen Y) และกลุ่มเจนเนอเรชันซี (Gen Z) ซึ่งถือเป็นกลุ่มวัยทำงานและวัยหนุ่มสาวนิยมซื้อเครื่องประดับที่ทำจากเพชรสังเคราะห์มากขึ้น ข้อมูลจาก Bain & Company ระบุว่า ตลาดเพชรสังเคราะห์เติบโตขึ้นประมาณร้อยละ 15-20 ในปี 2019 และคาดว่าภายในปี 2025 ตลาดเครื่องประดับ ที่ใช้เพชรสังเคราะห์จะเติบโตขึ้นเกือบ 2 เท่า คิดเป็นมูลค่าเกือบ 140,000 ล้านบาท
ตัวอย่าง ประเทศอินเดียกำลังให้ความสนใจเพชรสังเคราะห์มากขึ้นเรื่อย ๆ นิยมใช้ในการทำเป็นเครื่องประดับ แหวนหมั้น แหวนแต่งงาน ข้อมูลจาก Limelight Diamonds หนึ่งในแบรนด์เครื่องประดับจากเพชรสังเคราะห์รายใหญ่ที่สุดของอินเดีย ระบุว่า เพชรแท้มีราคาประมาณ 6,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อกะรัต ส่วนเพชรสังเคราะห์มีราคาเพียง 1,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อกะรัต นอกจากนี้แบรนด์เครื่องประดับใหญ่อย่าง Pandoraใช้เพชรสังเคราะห์มากขึ้น
สำหรับการขยายตัวในตลาดยุโรป อ้างอิงกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศระบุว่า แนวโน้มตลาดที่นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมเพชรระดับโลกได้มีการประเมินว่าตลาดเครื่องประดับเพชร LGD จะขยายตัวจากมูลค่า 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 5.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ เติบโตในอัตราร้อยละ 22 และสัดส่วนจะเพิ่มเป็นร้อยละ 5 ของมูลค่ารวมในตลาดเพชรโลก โดยเฉพาะอิตาลี อังกฤษ และ เยอรมนี รวมถึงในออสเตรเลีย ปัจจัยที่สนับสนุนส่วนหนึ่งมองว่าการใช้เพชรสังเคราะห์ ถือเป็นการช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติโดยไม่จําเป็นแทนอุตสาหกรรมขุดเพชรธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมเพชรและอัญมณีธรรมชาติได้ให้ความสำคัญกับเป้าหมายด้านการชดเชยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ การที่ผู้ผลิตเพชรใช้คาร์บอนลดลง เช่น โอกาสที่จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลแล้วหันมาใช้เชื้อเพลิงทดแทนในกระบวนการผลิตและการคมนาคมขนส่งโลจิสติกส์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการผลิตเพชรจะปล่อยคาร์บอนออกมาจากการใช้แหล่งพลังงานไฟฟ้าทั่วไป
อุตสาหกรรมเพชรสังเคราะห์เป็นอีกเทรนด์ที่สามารถเจาะกลุ่มตลาดคนรุ่นใหม่ในหลายประเทศทั้งเอเชียและยุโรป
Gallery
