รัฐบาล แถลงใช้ยาแรงเห็นผล ปราบแก๊งคอลเซนเตอร์ ความเสียหายลด แอปฯ ดูดเงินแทบไม่เจอ
วันที่ 17 มี.ค. 2568 เวลา 17:25 น.
รัฐบาล แถลงใช้ยาแรงเห็นผล ปราบแก๊งคอลเซนเตอร์ ความเสียหายลด แอปฯ ดูดเงินแทบไม่เจอ ด้าน “จเรตำรวจแห่งชาติ” ยืนยันชาวต่างชาติ สมัครใจไปทำงานชายแดนเมียนมา 100% ไม่มีใครถูกบังคับ พร้อมเร่งผลักดันกลับประเทศที่ 3 วันนี้ (17 มี.ค.68) ที่ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วย พล.ต.อ. ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ร่วมแถลงผลการปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ นายประเสริฐ กล่าวว่า วันนี้เห็นได้ชัดว่ายาแรงที่ได้ใช้ไปเริ่มเห็นผลอย่างชัดเจน โดยมาตรการตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต เมื่อวันที่ 5 ก.พ.68 และตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต บริเวณแนวชายแดนประเทศกัมพูชา ในเขตอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เมื่อวันที่ 12 ก.พ.68 ทำให้จำนวนคดีลดลงอย่างมีนัยยะเหลือ 25,487 คดี ลดลงเฉลี่ยประมาณ 20% จากสถิติการรับแจ้งคดีอาชญากรรมออนไลน์ทั้งหมดของประเทศไทย ระหว่างวันที่ 1-31 ม.ค.68 มีทั้งสิ้น 31,159 คดี และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเดิมมีการรับแจ้งมากกว่า 1,000 คดีต่อวัน โดยเฉพาะคดีคอลเซนเตอร์ที่มิจฉาชีพเข้าถึงเหยื่อได้ง่ายที่สุด ลดลงจากเดิมร้อยละ 67 ทั้งนี้ ข้อมูลที่ได้จาก AOC 1441 พบว่าประชาชนที่โทรเข้ามา มีจำนวนมูลค่าความเสียหายที่ลดลงในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ประมาณ 200 ล้านบาท และเมื่อเทียบมูลค่าความเสียหายในเดือน ม.ค.-ก.พ.ของปี 2567 กับปี 2568 พบว่าความเสียหายลดลงถึง 30% อาทิ 1. คดีหลอกลวงให้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมระบบในเครื่องโทรศัพท์ ลดลงร้อยละ 88.64 มูลค่าความเสียหายลดลงประมาณร้อยละ 94.24 หรือ แอปพลิเคชันดูดเงิน ที่แถบไม่พบปัญหาแล้ว หรือเหลือน้อยมาก 2. คดีหลอกลวงให้กู้เงิน มีจำนวนระงับบัญชีลดลงร้อยละ 17.51 มูลค่าความเสียหายลดลงประมาณร้อยละ 55.49 และ 3. คดีหลอกลวงให้ลงทุนที่เป็นความผิดทางพระราชกำหนดการกู้ยืมเงิน มีจำนวนระงับบัญชีลดลงร้อยละ 62.22 มูลค่าความเสียหายลดลงร้อยละ 97.21 นอกจากนี้ ประชาชนเองก็เริ่มตระหนักถึงภัยจากการหลอกลวงมากขึ้น โดยผ่านการให้ความรู้และการแจ้งเตือนจากภาครัฐ ด้าน พล.ต.อ. ธัชชัย กล่าวว่า จากมาตรการ 3 ตัดของรัฐบาล ทางการไทยได้ร่วมมือกับรัฐบาลเมียนมา และชนกลุ่มน้อยในการปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ในเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา พบว่า สถิติในการกวาดล้างเบื้องต้นจนถึงปัจจุบันมีทั้งสิ้น 5,251 ราย ซึ่งจะคัดแยกอีกครั้งว่า มีผู้ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์หรือไม่ โดยแก๊งคอลเซนเตอร์ทั้งหมดที่ทางการเมียนมาได้ดำเนินการ มีการส่งกลับประเทศไปแล้ว 3,533 ราย เหลืออีก 1,718 ราย ซึ่งคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นคนจีน และคนอินเดีย และคงมีการดำเนินการกวาดล้างอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายให้แก๊งคอลเซนเตอร์บริเวณประเทศเพื่อนบ้านฝั่งเมียนมาหมดไป แม้ว่าจะเป็นชาวต่างชาติ แต่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในทางอ้อม ทั้งภาพลักษณ์และใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน จากมาตรการของรัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ออกมาตรการ 7 ข้อ เพื่อควบคุมคนต่างชาติที่เข้าพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก โดยจากสถิติพบจำนวนทั้งสิ้น 3,652 ราย ที่ผ่านช่องทางบกและทางอากาศเข้าพื้นที่อำเภอแม่สอด ตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค. - 26 ก.พ. 68 พบว่า คนต่างชาติทั้งหมดที่เข้าไปสมัครใจ 100% และมีประมาณเกือบ 5% คือ 164 ราย ที่สมัครใจเดินทางกลับ หลังเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูล และซักถามต่าง ๆ ดังนั้น ยืนยันได้ว่าคนต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทย ไม่มีใครถูกบังคับ ขู่เข็ญ หรือมีการวางยาสลบ และนำพาข้ามไปที่อำเภอแม่สอด และข้ามแม่น้ำไปที่เมืองเมียวดีแต่อย่างใด จากสถิติตัวนี้ เราเชื่อว่ากลุ่มคนที่เข้ามา นอกจากสมัครใจแล้ว มีความประสงค์ที่จะข้ามช่องทางธรรมชาติไปเมียวดี ซึ่งอาจเข้าไปทำงานในแก๊งคอลเซนเตอร์ บ่อนออนไลน์ หรืองานประเภทอื่น ๆ และต่อมาบางคนถูกบังคับ หรือถูกทำร้าย จะเป็นเรื่องของการค้ามนุษย์หรือ Forced Criminality ในฝั่งเมียวดี ซึ่งไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย ส่วนฝั่งประเทศกัมพูชา เราเสนอกัมพูชาให้นำคนไทยที่ทำงานในแก๊งคอลเซนเตอร์ทั้งหมด กลับมาลงโทษที่ประเทศไทย โดยกัมพูชาได้ส่งตัวกลับมา ก็เข้าสู่กระบวนการคัดแยกเหยื่อ และมีมติว่า เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ และในวันถัดมาทางการกัมพูชากวาดล้างคอลเซนเตอร์ฝั่งปอยเปต ตรงข้ามอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ส่งตัวคนไทยกลับมา 119 คน โดยพบว่า เป็นเยาวชนอายุ 17 ปี 4 คน และจนถึงตอนนี้ทั้ง 115 คนถูกดำเนินคดีทั้งหมดในข้อหาการมีส่วนร่วมก่ออาชญากรรมข้ามชาติ ที่มีโทษจำคุกถึง 15 ปี ร่วมกันฉ้อโกง อั้งยี่ ซ่องโจร โดยกลุ่ม 15 คนหลัง ไม่ได้ถูกดำเนินคดีฉ้อโกง เพราะเกี่ยวข้องกับบ่อนพนันออนไลน์ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เราสามารถปิดช่องว่าง ในเรื่องที่แก๊งคอลเซนเตอร์เหล่านี้ จะใช้ช่องทางเหยื่อค้ามนุษย์ที่เข้ามาในประเทศไทย โดยไม่ต้องถูกดำเนินคดี ส่วนกรณีที่ทางกลุ่ม BGF ของเมียนมา ได้แถลงว่าสามารถปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ ในเมืองเมียวดีได้กว่า 99% แล้วนั้น จเรตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า ตัวเลขดังกล่าว ตนขอให้เป็นข้อมูลที่ยืนยันได้อีกครั้ง เพราะเราเชื่อว่า ฝั่งเมียวดียังมีมากกว่า 10,000 คนขึ้นไป ที่ทำงานอยู่ในแก๊งคอลเซนเตอร์ และอีกส่วนหนึ่งจะมีประชุมกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime หรือ UNODC) ในช่วงบ่ายวันนี้ ตนเองจะให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศที่มีคนถูกหลอกมาที่เมียวดี เพื่อดูว่าจากนี้ไป ยังมีคนในประเทศนั้นถูกหลอกจากฝั่งเมียวดีหรือไม่ ซึ่งตัวเลขส่วนนั้นจะยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าแก๊งคอลเซนเตอร์จากฝั่งเมียวดีได้หมดไปจริงหรือไม่ พล.ต.อ. ธัชชัย ยืนยันว่า ตัวเลขที่ BGF แถลงว่าจับกุมได้กว่า 7,000 คน และตัวเลขที่เราแถลงนั้นไม่ตรงกัน โดยตัวเลขที่เราแถลงเป็นตัวเลขจากข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศ ประเทศเมียนมา ที่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ 5,251 คน ส่วนตัวเลขนอกเหนือจากนั้น ตนเข้าใจว่าเป็นเรื่องของการยืนยันตัวบุคคลของประเทศนั้น ๆ ก่อนว่าเป็นใครบ้าง ซึ่งตัวเลขอาจเหลื่อมกันบ้าง แต่ตัวเลขที่เราแถลงคือ คนที่ได้รับการยืนยันจากกระทรวงการต่างประเทศ และเป็นข้อมูลอย่างเป็นทางการ