กรมโยธาฯ ย้ำ ก่อสร้างอาคาร ต้องดำเนิน “มาตรการป้องกันฝุ่นละออง” อย่างเคร่งครัด

วันที่ 14 มี.ค. 2568 เวลา 09:07 น.
กรมโยธาฯ ย้ำ ก่อสร้างอาคาร ต้องดำเนิน “มาตรการป้องกันฝุ่นละออง” อย่างเคร่งครัด ร่วมแก้ไขปัญหามลภาวะทางอากาศและลดฝุ่น PM 2.5 วันนี้ (14 มี.ค.68) นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ย้ำ กฎกระทรวง ฉบับที่ 67 (พ.ศ.2563) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นหนึ่งในกฎหมายป้องกันฝุ่นที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอาคาร มีความครอบคลุมในเรื่องการฟุ้งกระจายของฝุ่นที่เกิดจากการก่อสร้างอาคาร ตลอดจนถึงรถที่ใช้ขนวัสดุในการก่อสร้างอาคาร โดยกฎหมายมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับฝุ่นละอองดังนี้ การก่อสร้างอาคารที่มีความสูงตั้งแต่ 10.00 เมตรขึ้นไป ที่มีระยะราบวัดจากแนวอาคารด้านนอก ถึงที่สาธารณะหรือที่ดินต่างเจ้าของหรือผู้ครอบครองน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของความสูงของอาคารนั้น หรืออาคารซึ่งอยู่ในโครงการจัดสรรที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน ผู้ดําเนินการต้องจัดให้มีมาตรการป้องกันฝุ่นละออง ดังต่อไปนี้ (1) กันล้อมอาคารด้วยวัสดุหรืออุปกรณ์ที่สามารถป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่นละอองที่เกิดจากการก่อสร้าง (2) กองวัสดุที่มีฝุ่นละอองต้องปิดหรือคลุมด้วยวัสดุหรืออุปกรณ์ที่สามารถป้องกันการฟุ้งกระจาย หรือเก็บไว้ในพื้นที่ปิดล้อมหรือฉีดพรมด้วยน้ำหรือวิธีการอื่นที่ป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่นละออง (ค) การขนย้ายวัสดุที่ทําให้เกิดฝุ่นละอองด้วยสายพานต้องปิดให้มิดชิด (ง) การผสมคอนกรีต การไสไม้ การกระทําใด ๆ ที่ก่อให้เกิดฝุ่นละออง ต้องทําในพื้นที่ปิดล้อม หรือมีผ้าคลุม หรือใช้วิธีการป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่นละออง (จ) มีการจัดการวัสดุที่เหลือใช้เพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่นละออง (ฉ) ฉีดล้างล้อรถทุกชนิดด้วยน้ำก่อนนําออกนอกบริเวณสถานที่ก่อสร้าง เพื่อมิให้ฝุ่นละอองฟุ้งกระจาย และไม่ให้น้ำที่ใช้ในการฉีดล้างดังกล่าวไหลออกนอกบริเวณสถานที่ “ปัญหาเรื่องฝุ่นละอองมีความเกี่ยวข้องในหลายมิติ กฎกระทรวงดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องฝุ่นละอองที่เกิดจากการก่อสร้างอาคารเท่านั้น ซึ่งยังมีกฎหมายอีกหลายฉบับที่เกี่ยวข้อง กับการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองอีกด้วย กรมโยธาธิการและผังเมือง ตระหนักและให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองเป็นอย่างมาก พร้อมจับมือร่วมกับทุกภาคส่วนต่างๆ ทั้งระดับบุคคล สังคม และนโยบายระดับประเทศ เพื่อช่วยกันเปลี่ยนแปลงโลกไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น” นายพงษ์นรา กล่าว