ผู้เสียสละ ปลายด้ามขวาน เพื่อชาติ เพื่อบ้านเกิด! อาชีพนี้ผมไม่เสียใจ ผมเสียใจที่ทำงานไม่ได้มากกว่า

ผู้เสียสละ ปลายด้ามขวาน เพื่อชาติ เพื่อบ้านเกิด! อาชีพนี้ผมไม่เสียใจ ผมเสียใจที่ทำงานไม่ได้มากกว่า

วันที่ 7 มี.ค. 2568 เวลา 12:25 น.

"ขาเสียไปข้างหนึ่งคือทางซ้าย ต้องตัดขาเหนือเข่าขึ้นไป แล้วก็นิ้วชี้และนิ้วก้อยข้างซ้าย โดนตัดออกไป ก็เหลืออยู่ 3 นิ้ว แล้วก็ดวงตาข้างซ้ายก็เสียไปครับ ใส่ดวงตาปลอมเข้าไป ก็คือทำใจมาตั้งนานแล้วว่า สักวันหนึ่งมันก็ต้องมีเกิด ในใจลึก ๆ มันก็อมีเสียใจบ้าง แต่ว่ามาทำหน้าที่นี้ มันรู้อยู่แล้วว่าเสี่ยง ก็ทำใจมาตั้งแต่เริ่มทำมาแล้ว" ถ้อยคำจากความรู้สึกของ "พี่นนท์" ซึ่งเป็นอีกหนึ่งคนที่เสียสละจากเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่บอกให้เราได้รับรู้ถึงความมุ่งมั่น ที่เขาเข้ามาทำอาชีพนี้ แม้ว่าทุกวันนี้จะต้องสูญเสียอวัยวะบางส่วนไปจากแรงระเบิดที่คนร้ายได้ลอบฝังเอาไว้ แต่พี่นนท์ ก็ยังมีแรงฮึดสู้ พยายามกลับมาใช้ชีวิตให้ปกติดังเดิม "พี่นนท์" หรือ นายหมู่ใหญ่ อานนท์ ทองเตะ ร้อย.อส.อ.ปะนาเระ 3 บอกถึงหน้าที่หลัก ๆ ของ อส. (กองอาสารักษาดินแดน) ของ ช.ค.ต. (ชุดคุ้มครองตำบล) ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า ต้องคอยรักษาความปลอดภัยพี่น้องประชาชน ชาวบ้านในพื้นที่ รวมถึงที่ตั้ง หลัก ๆ ก็จะทำงานทำร่วมกัน 3 ฝ่าย คือ ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ซึ่งในส่วนของพี่นนท์ นั้น สังกัดอยู่กรมการปกครอง 3 ต.ค. 66 ภารกิจเปลี่ยนชีวิต ที่เลี่ยงไม่ได้ พี่นนท์ เล่าย้อนถึงเหตุการณ์ ในวันที่ตัวเองต้องสูญเสีย ว่า วันที่ 3 ตุลาคม 2566 ตอนเช้าตรู่ได้รับแจ้งจากผู้ใหญ่บ้านว่า มีการแขวนป้าย ธงชาติมาเลเซียอยู่กลางทุ่งนา หลัง ช.ค.ต.ดอน อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ห่างจากที่ตั้งไปประมาณ 100 เมตร ผู้บังคับบัญชาจึงเรียกกำลังแถว เพื่อที่จะชี้แจงว่าให้ไปปิดกั้นพื้นที่ พอสว่างก็เลยปิดกั้นพื้นที่ไว้ "ผมเป็นรองหัวหน้าชุด ช.ค.ต. ผมก็ต้องออกไปด้วย เวลาประมาณ 09.30-10.00 น. ผมได้เดินไปใกล้ศาลา ตรงปากทางเข้าที่กั้นเชือกเอาไว้ ระเบิดมันฝังดินเอาไว้ใกล้กับมุมศาลา ใกล้กับจุดที่กั้นเชือก ผมก็เลยไปเหยียบกับระเบิดตัวนั้น ก็เลยระเบิด " ความเสียหายตอนที่โดนระเบิด ณ ตอนนั้นก็คือ "ขาขาด" ขาเสียไปข้างหนึ่งคือทางซ้าย ต้องตัดขาเหนือเข่าขึ้นไป แล้วก็นิ้วชี้และนิ้วก้อยข้างซ้ายโดนตัดออกไป ก็เหลืออยู่ 3 นิ้ว แล้วก็ดวงตาข้างซ้ายก็เสียไป ใส่ดวงตาปลอมเข้าไป ส่วนเลนตาข้างขวาก็ใส่ของที่เขาบริจาคมา เพราะโดนสะเก็ดระเบิดได้รับความเสียหาย ซึ่งทางสภากาชาดเขาได้บริจาคมาเพื่อให้การรักษา แล้วก็กลับมาได้มองเห็นอีกครั้งหนึ่ง ในใจลึก ๆ มันก็มีเสียใจบ้าง แต่ว่ามาทำหน้าที่นี้ มันรู้อยู่แล้วว่าเสี่ยง ก็คือทำใจมาตั้งแต่เริ่มทำมาแล้ว เพราะว่าผมเป็น อส. มาตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบันนี้ก็ 15 ปี ก็คือทำใจมาตั้งนานแล้วว่า สักวันหนึ่งมันก็ต้องเกิด 142 วัน แห่งการรักษา “กำลังใจ” คือสิ่งสำคัญ "ลูก ๆ กับครอบครัวแหละครับ ผมคิดว่าถึงสูญเสียไป แต่ว่าดีแค่ไหนแล้วที่ดวงตาเรากลับมามองเห็น ก็เลยออกกำลังกาย" พี่นนท์ บอกว่า  ปกติก็เป็นคนออกกำลังกายอยู่แล้ว ถ้าเรามีกำลังใจดี ร่างกายแข็งแรง มันก็กลับมาเร็ว มีลูกมีครอบครัวให้กำลังใจ มีเพื่อน มีพี่มีน้อง มีชาวเน็ต ในติ๊กต็อกเนี่ยแหละครับ เข้ามาให้กำลังใจจำนวนเยอะมาก ทุกคอมเมนต์ที่เข้ามา คือให้กำลังใจเยอะมากทำให้เราใจฟูขึ้น พร้อมที่จะเดินออกไปสู่ภายในนอกได้ เพราะเมื่อก่อนผมมีกำลังใจก็จริง แต่ว่าผมไม่กล้าเดินออกไปข้างนอก เพราะเมื่อก่อนเรามีครบ เรามีขา มีตา มีแขนอะไรครบ เราเดินได้ปกติ แต่พอมาวันหนึ่งเราไม่มีขาขึ้นมา มันมีพลังแต่ว่ามันไม่กล้าเดินออกไปด้านนอก แต่พอวันหนึ่ง เราลงคลิปในติ๊กต็อก เราจอพี่ ๆ น้อง ๆ ชาวเน็ต ที่เข้ามาให้กำลังใจ ชีวิตมันก็เปลี่ยนขึ้น จากที่ว่าเราไม่กล้าเดินออกไป เราก็เริ่มกล้าออกไปสู่โลกภายนอกทีละนิด ๆ จนทุกวันนี้ก็เดินออกไปภายนอกไม่อายแล้ว "ความเสียสละ" ที่ไม่เคยเสียใจ เพราะที่นี่คือบ้านผม แม้ว่าอาชีพนี้จะมาพร้อมกับความเสี่ยง แต่พี่นนท์ บอกกับเราว่า ไม่เสียใจ เพราะผมเดินเข้ามาทำงาน ณ ที่ตรงนี้ ที่นี่คือบ้านผมด้วย ไม่เสียใจอยู่แล้ว เพราะว่าที่เดินเข้ามาพร้อมที่จะทำงานอยู่แล้ว "ผมเสียใจที่ทำงานไม่ได้มากกว่า" ความผูกพันที่ทำงานอยู่ที่นี่ ที่ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี มัน 10 กว่าปี ความผูกพันมันเหมือนกับว่า พอเราไม่ได้ทำงานกับเพื่อนร่วมงานแล้ว เวลาเห็นเพื่อนใส่ชุดมันรู้สึกหวิว ๆ กว่าจะทำใจได้ก็ 2-3 เดือน ที่ว่าเรามาเห็นเพื่อนทำงาน อยู่ด้วยกันอะไรแบบนี้ ตอนนี้เงินเดือนผมไม่ได้รับ เพราะว่าอยู่ในขั้นตอนเดินเอกสารเรื่องปลดพิการ กำลังดำเนินการเอกสารเรื่องขอบำนาญการพิเศษ ซึ่งทางหน่วยงานก็ไม่ได้ทอดทิ้ง "สู้แหละครับ เพราะอย่างน้อยเรายังมีลมหายใจอยู่ ถึงเราทำไม่ได้ 100% แต่เราก็ยังทำได้ ถ้าเรามีใจที่จะสู้ สักวันหนึ่งมันก็กลับมาเหมือนเดิมได้ เชื่อผมเถอะครับ มันอยู่ที่ใจว่าเราสู้หรือเปล่า ถ้าเราสู้ เรามีความหวังว่าเราต้องเดินได้ เราต้องใช้ชีวิตได้ มันก็ดำเนินชีวิตได้ปกติเหมือนคนทั่วไป แค่อาจจะช้ากว่า หรืออาจจะไม่เหมือนคนปกติ แต่เราก็ใช้ได้" พี่นนท์ กล่าวทิ้งท้าย