“โรม” จี้ รัฐบาลเข้ม-ป้องกัน แก๊งคอลเซนเตอร์ กลับมาไทย

วันที่ 20 ก.พ. 2568 เวลา 10:55 น.
“โรม” กังวล ระบบจัดเก็บอัตลักษณ์ไทย หมดอายุ หวั่นปลอมตัวกลับมาทำผิด เตรียมถาม “DSI” ดำเนินคดีก่อนเข้าพบ หลังอัยการกลับลำ ไม่เข้าพบ แย้ม แหล่งสแกมไท่ชาง มีประชากรหลักหมื่นคน โหดร้ายไม่แพ้กัน วันนี้ (20 ก.พ.68)นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานประธานกมธ.ความั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทยยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ กล่าวว่า ภายหลังการปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ ขั้นต่อไปจะเป็นการส่งคนที่อยู่ในเมียวดีทั้งเหยื่อและอาชญากรกลับไปยังประเทศต้นทาง ซึ่งความหน้ากังวลของเรื่องนี้เป็นการเก็บข้อมูล 2 ส่วน โดยส่วนแรกจะเป็นการสอบข้อเท็จจริง เช็คข้อมูลทางมือถือว่าเป็นเหยื่อจริงหรือไม่ หรือเป็นอาชญากรแก๊งคอลเซนเตอร์ และรู้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการแก๊งคอลเซนเตอร์หรือไม่ ถือเป็นข้อมูลสำคัญที่จะใช้ในการปราบปราม และทลายโครงสร้างแก๊งคอลเซนเตอร์ อาชญากรข้ามชาติเหล่านี้ แม้ปัจจุบันจะพอรู้รายละเอียด ของกระบวนการของคอลเซนเตอร์บ้าง แต่ยังมีคนในระดับบอส ระดับเมเนเจอร์ ที่มีข่าวว่าหนีไปกบดานที่กรุงเทพหรือเชียงใหม่บ้าง อาจไม่ได้อยู่เมียวดีตั้งแต่ต้น แต่อาจอยู่เบื้องหลังและไม่ไกลจากใจกลางของเมืองหลวงคอลเซนเตอร์เหล่านี้ จำเป็นต้องสืบรู้ให้ได้ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า หากในอนาคตจีนมีการจัดการปัญหาเรื่องจีนเทา คำถามต่อไป คือจีนเทายังมีอยู่ในไทยอีกหรือไม่ และจะปราบปรามได้อย่างไร เพราะนี้คือผลประโยชน์ของประเทศไทย และไทยจะต้องปกป้องตัวเองหวังพึ่งประเทศอื่นไม่ได้ นี่คือขั้นแรก และยอมรับว่าการจะไปสู่จุดนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ทรัพยากรเยอะต้องใช้เวลาและล่าม ส่วนประเด็นที่ 2 การเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล ซึ่งกลุ่มจีนเทาเหล่านี้มีเงินเยอะสามารถซื้อสัญชาติหรือพาสปอร์ตของชาติอื่นๆ หากไทยไม่มีการเก็บอัตลักษณ์เลย คำถามจากนี้จะรู้ได้อย่างไรว่าคนเหล่านี้ในอนาคตอาจกลับมาไทยอีก ด้วยพาสปอร์ตเล่มใหม่ อาจเป็นของประเทศหมู่เกาะอะไรสักอย่าง ก็สามารถกลับมาที่ประเทศไทยได้และใช้ไทยเป็นทางผ่านในการทำแก๊งคอลเซ็นเตอร์อีก หรือก่ออาชญากรรมอื่นๆ นี่เป็นปัญหาใหญ่ที่ไทยไม่สามารถเพิกเฉยได้ ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะมีการเพิกเฉยต่อเรื่องของอัตลักษณ์ และส่งตัวคนจีนกลับไปแบบนี้ซึ่งตนได้แหล่งข่าวข้อมูลว่า วันนี้ที่ไทยไม่เก็บอัตลักษณ์ เป็นเพราะระบบที่ซื้อใช้ไม่ได้อีกแล้ว ที่เราใช้กันที่สนามบินสุวรรณภูมิ ภูเก็ต เชียงใหม่ รวมถึงบริเวณชายแดน คาดว่าหมดอายุ มีความเป็นไปได้ว่าตอนนี้ระบบที่เคยซื้อไป ไม่ได้มีการเก็บข้อมูลอัตลักษณ์อีกแล้ว มาเป็นเวลานาน และมีความเป็นไปได้ว่า คนที่เข้าออกประเทศไทย ประมาน 17 ล้านคน อาจไม่มีการเก็บข้อมูลอัตลักษณ์เลย ข้อมูลที่เก็บทุกวันนี้เป็นเพียงหน้าพาสปอร์ต แต่ไม่ได้เป็นลักษณะของอัตลักษณ์ (BIOMETRIC) เช่น สมมุติว่านายก. เดินทางมาไทยด้วยพาสปอร์ตจีน และก่ออาชญากรรม เราพบว่าคนนี้คือนายก.แต่หนีไปแล้ว เราสามารถขึ้นแบล็คลิสต์ แต่ในอนาคตหากนายก. กลับมาไทยด้วยสัญชาติวานูอาตู และพาสปอร์ตวานูอาตู ไทยก็ไม่สามรถจับนายก.ได้ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ขอให้เรื่องนี้ไม่จริง วันนี้จึงถือโอกาสมาถาม 2 เรื่อง ทั้งเรื่องระบบจัดเก็บอัตลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับจีนเทา และปัญหาเรื่องความปลอดภัยโดยรวมของไทย หลังจากนี้คงมีการพูดคุยกันและหากเป็นเรื่องจริง ถือเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งหมายความว่าความปลอดภัยโดยรวมของไทยพังทั้งหมด และข้อมูลที่ตนได้มาขอให้ไม่ใช่เรื่องจริง ส่วนประเด็นต่อมาที่จะมีการพูดคุยกันคือเรื่องการดำเนินคดี ซึ่งสรุปแล้วการจับกุมพลเอกหม่องชิตตู จะเป็นการละครหรือไม่ และฟอกขาวหรือไม่ ตนได้อ่านข่าวเช่นเดียวกับสื่อมวลชน ว่าอัยการจะไปพบ DSI อยู่แล้ว แต่ก็ยกเลิกกระทันหัน เรื่องนี้หากเป็นจริงผิดกันอย่างชัดเจน เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน ประเทศต่างๆมีการคว่ำบาตร ตนเป็นห่วงว่า ระบบกฎหมายไทยจะเป็นการฟอกขาวให้กับพลเอกหม่อง ชิตตู่ไป ไม่เพียงพลเอกหม่อง ชิตตู่ เท่านั้นอาจมีอาชญากรอีกหลายคนที่ต้องวางเป้าหมายด้วยกันกับหน่วยงานของรัฐต่อไป และพูดคุยว่ามีข้อมูลมากน้อยแค่ไหนในเรื่องนี้ หากเป็นจริงตามนี้และไม่มีการรองรับอะไรเลย ไทยถือว่าเสียหายมาก นายรังสิมันต์ ยังกล่าวถึง เมืองไท่ชางหรือท่าช้างฝั่งตรงข้ามชายแดน ต.ช่องแคบ อ.พบพระ จ.ตาก ซึ่งข้อมูลที่พอยืนยันได้ มีแก๊งสแกมเมอร์อยู่ประมาณ 1 หมื่นคน ซึ่งอาจจะรวมเหยื่อ และมีความโหดร้ายทารุญสูงมาก และอยู่ในการดูแลของกองทัพกระเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตย (D.K.B.A.) และไม่ได้มีความเป็นเอกภาพ คนที่เป็นคีย์แมนหลัก หรือเรียกง่ายๆว่าพลเอกหม่อง ชิตตู่ แห่ง D.K.B.A ชื่อว่า ซาย จอ หล่า ซึ่งบางคนเรียกว่า จอ ซาย ซายแปลว่าผู้ชาย จอแปลว่ากระเหรี่ยง ซึ่งมีความโหดร้ายทารุณมาก มีคนจำนวนมากหลบหนีมาขึ้นฝั่งที่ไทย โดยเฉพาะคนจีน ซึ่งชาวบ้านพบศพบริเวณ แม่น้ำเมยอยู่เป็นประจำโดยเฉพาะช่วงน้ำหลาก ก่อนหน้านี้บริเวณไท่ชาง เคยใช้ไฟของไทยแต่อาจจะต่อพ่วงมาอีกทีจากข้างใน ซึ่งตอนนี่เข้าใจว่าตัดไปหมดแล้ว โดยตอนนี้ใช้เครื่องปั่นไฟและนำน้ำมันไปผลิตไฟเหมือนกับอีกหลายแห่งและมีการลักลอบนำแก๊สเข้าไปบริเวณนั้นด้วย เป็นร้อย ๆ ถัง