พบเงินของกลาง 13 ล้านบาท คดี "จีนต้มจีน"
วันที่ 10 ม.ค. 2568 เวลา 16:33 น.
ข่าวเย็นประเด็นร้อน - จากคดีคนจีนตลบหลังกันเอง ล่าสุด ตำรวจตามเงินของกลาง 2 คดีครบแล้ว จำนวน 13 ล้านบาท ส่วนตัวการรายสำคัญ พบว่าเดินทางออกจากไทยแล้ว พบเงินของกลาง 13 ล้านบาท คดี "จีนต้มจีน" ความคืบหน้าคดี คนร้ายลักษณะคล้ายชาวจีน ลวงชายชาวจีนด้วยกัน ไปที่บ้านหลังหนึ่งในซอยประชาราษฏร์บำเพ็ญ 12 แขวงห้วยขวาง กรุงเทพฯ เพื่อซื้อขายเหรียญคริปโทฯ ราคา 5 ล้านบาท แต่ผู้ก่อเหตุ กลับไม่ยอมโอนเหรียญคริปโทฯ ให้ ก่อนจะหยิบเงินสด 5 ล้านบาท หลบหนีไป ช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน เกิดเหตุคนร้ายลวงขายเหรียญคริปโทฯ จากผู้เสียหาย ราคา 8 ล้านบาท โดยนัดกันที่อาคารแห่งหนึ่ง ย่านพระรามเก้า พอถึงเวลา ผู้เสียหายโอนเหรียญคริปโทฯ ไปยังบัญชีคนร้าย ที่เป็นคนกลาง แต่ฝั่งที่ถือเงินสด อ้างว่า ไม่ได้เหรียญคริปโทฯ เพราะเหรียญคริปโทฯ โอนเข้าบัญชีคนกลาง ก่อนจะนำเงินหนีไป เปิดแผน "คนกลางแลกเงิน" ฮุบเงินหนี ล่าสุดวันนี้ พันตำรวจเอก ประสบโชค เอี่ยมพินิจ ผู้กำกับการ สน.ห้วยขวาง เปิดเผยว่า คดีแรก ผู้เสียหายชาวจีน ถูกเพื่อนร่วมชาติวิ่งราวทรัพย์ 5 ล้านบาท ส่วนคดีที่ 2 เป็นคดีฉ้อโกง 8 ล้านบาท โดยตำรวจติดตามเงินของกลางทั้ง 2 คดี รวม 13 ล้านบาท คืนครบทั้งหมดแล้ว ทั้งนี้คดีแรก ตำรวจตามไปยึดเงินของกลางได้ที่อาคารแห่งหนึ่ง ย่านยานนาวา มีผู้เสียหายชาวจีน (เจ้าของเงิน) ไปชี้เงินของกลางด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังพบรถตู้อัลพาร์ด สีขาว ที่คนร้ายทั้ง 3 คน จอดทิ้งไว้ ส่วนผู้ต้องหาทั้ง 3 คน เป็นคนจีน 2 คน คนไทย 1 คน เบื้องต้นทราบชื่อแล้ว 1 คน พบเป็นคนเช่าอาคารที่เกิดเหตุ ในซอยประชาราษฎร์บำเพ็ญ 12 เช่ามานานกว่า 2 ปีแล้ว ราคาเดือนละ 20,000-30,000 บาท ส่วนผู้ต้องหาอีก 2 คน กำลังเร่งพิสูจน์ทราบตัวบุคคล ขณะนี้ได้ตำหนิรูปพรรณบางส่วนแล้ว ส่วนคดีที่ 2 เป็นคดีฉ้อโกง 8 ล้าน คู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย ได้เดินทางมาเจรจาตกลงกัน และคืนเงิน 8 ล้านบาท กันที่โรงพัก ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา สำหรับคดีที่เกิดขึ้นทั้ง 2 เหตุการณ์ จากแนวทางการสืบสวน พบว่า ตัวการรายสำคัญ เป็นคนกลางประสานเรื่องการแลกซื้อเหรียญคริปโทฯ คือ นายเฉิน เป็นชาวจีน โดยผู้เสียหายทั้ง 2 คดี โอนเงินไปยังบัญชีของนายเฉิน แต่เงินไปไม่ถึงคู่ค้าปลายทาง นายเฉิน เป็นโบรกเกอร์ซื้อขายแลกเปลี่ยน ก่อนหน้านี้ ไม่ได้มีปัญหาอะไร มีการซื้อขายกันได้จริง เริ่มต้นจากหลักแสนบาท ทำให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ จนมาเกิดเหตุล่าสุด พบว่า นายเฉิน ไม่ได้โอนเงินต่อ แต่เก็บเงินไว้เอง เบื้องต้นพบว่า นายเฉิน เดินทางออกจากไทยไปมาเก๊า ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา ทำให้ทราบว่าเจ้าตัวบงการอยู่ที่มาเก๊ามาตลอด ผ่านระบบเทเลแกรม มีการประสานข้อมูลตำรวจตรวจค้นเข้าเมือง เพื่อขึ้นบัญชีแบล็กลิสต์ พร้อมขอศาลออกหมายจับ นายเฉิน และประสานออกหมายแดง สำหรับรถโตโยต้า อัลพาร์ด ที่ใช้ก่อเหตุชิงเงิน 5 ล้านบาท ตำรวจได้นำมาจอดเก็บไว้ที่ สน.ห้วยขวาง เจ้าที่พิสูจน์หลักฐานตรวจสอบเก็บหลักฐานไว้เบื้องต้นแล้ว นอกจากนี้ยังมีคดีใกล้เคียงกัน ในพื้นที่ สน.มักกะสัน มูลค่าความเสียหายประมาณ 4.5 ล้านบาท แต่คดีนี้โบรกเกอร์คนกลาง ไม่ใช่ นายเฉิน แต่เป็นบุคคลอื่น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวน