สาววัย 21 โดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก สูญ 3 แสน อ้างพัวพันคดีดัง

วันที่ 10 ม.ค. 2568 เวลา 08:09 น.

โดนอีกแล้ว! สาววัย 21 ปี ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกสูญ 3 แสน อ้างพัวพันคดีฟอกเงิน อดีตสมาชิกพรรคการเมืองดัง จนต้องถ่ายคลิปขู่ทำร้ายตัวเองส่งพ่อแม่เพื่อขอเงิน เมื่อเวลา 19.00 น. วานนี้ (9 ม.ค. 68) ที่สภ.เมืองนนทบุรี นางเอ (นามสมมุติ) อายุ 49 ปี พร้อมสามี ได้พาน.ส.บี (นามสมมุติ) อายุ 21 ปี ลูกสาว เข้าให้ปากคำดับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี ว่า เมื่อวันที่ 7 ม.ค.68 น.ส.บี ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกว่า ไปพัวพันคดีของอดีตสมาชิกพรรคการเมืองหนึ่ง ในข้อหาร่วมกันในคดีฟอกเงิน ทำให้ น.ส.บี แอบเอาเงินในบัญชีของครอบครัวโอนให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์สูญเงิน 3 แสนกว่าบาท จากการสอบถาม น.ส.บี ทราบว่า ช่วงเย็นวันที่ 7 ม.ค. 68 ได้มีโทรศัพท์เบอร์แปลกที่ไม่ได้บันทึกชื่อไว้โทรเข้ามาแจ้งว่า มาจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตนจึงวางสายทันทีเพราะคิดว่าเป็นมิจฉาชีพ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จากนั้นได้มีโทรศัพท์อีกเบอร์โทรเข้ามาอีกครั้งและพูดด้วยเสียงแข็งว่า "เมื่อกี๊สายหลุดหรือตัดสายทิ้ง" ด้วยความกลัวตนจึงบอกไปว่าสายตัดไปเอง ปลายสายจึงแจ้งว่าตนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินของอดีตสมาชิกพรรคการเมืองดังกล่าว แล้วบอกตนว่าจะโอนสายไปให้คนที่มียศใหญ่เพื่อจะช่วยเหลือตน ให้ไม่ต้องเข้าไปมีรายชื่อเป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว พร้อมกับบอกว่าตนเคยไปเปิดบัญชีธนาคาร ที่ จ.สุพรรณบุรี ตนก็ตกใจเพราะไม่เคยไปเปิดบัญชีที่ จ.สุพรรณบุรี ซึ่งระหว่างที่พูดคุยกันตนไม่รู้ว่าตอนนั้นเขาเป็นตำรวจจริงหรือไม่จริง ตนต้องการแสดงความบริสุทธิ์ว่าไม่ได้เป็นคนทำ เขาถึงต้องการมาสอบสวนตนว่าเป็นมาอย่างไร น.ส.บี กล่าวต่อว่า จากนั้นได้มีการโทรผ่านไลน์เข้ามาและชี้แจงรายละเอียดคดี แจ้งชื่อนามสกุลและเลขคดี แล้วแจ้งว่าเป็นตำรวจยศร้อยโท ก่อนวางสายไป ต่อมาได้มีการโทรกลับมาเป็นวิดีโอคอล เป็นผู้ชายแต่งเครื่องแบบตำรวจ ด้านหลังมีหมวกตำรวจและป้ายกรมสอบสวนคดีพิเศษ หลังจากเขานั้นได้มีการส่งรูปและเอกสารของอดีตสมาชิกพรรคการเมืองดังกล่าวมาให้ เป็นรูปพาดหัวข่าว ตนจึงบอกว่าตนไม่รู้จัก ตำรวจได้บอกว่าอดีตสมาชิกพรรคการเมืองดังกล่าว ให้การซัดทอดว่าตนไปขายบัญชีธนาคารให้เขา ตนบอกไม่มีเลขบัญชีตามที่บอก จากนั้นให้ตนเอาโทรศัพท์หันไปรอบห้องว่ามีใครอยู่หรือไม่ และยังพูดเล่นด้วยว่าสะสมของด้วย ตนคิดว่าเขาคงพูดทำให้ตนสบายใจไม่อยากให้ตนเครียดหรือวิตกกังวล น.ส.บี กล่าวอีกว่า ขณะที่วิดีโอคอล ตนก็พยายามจะจับพิรุธว่าตำรวจเป็น AI หรือเปล่าเพราะตอนนี้ AI ทำเหมือนมาก แต่เห็นว่าลักษณะท่าทางและการขยับร่างกาย ตรงกันกับเสียงที่พูดคุยตรงกัน หลังจากคุยแล้วชายที่อ้างตัวเป็นตำรวจได้ถามว่ามีเงินและทรัพย์สินอะไรบ้าง ให้แจ้งมาทั้งหมด ตนบอกว่ามีเงินในบัญชีอยู่ประมาณ 1,500 บาท และมีเงินสดอีก 7,000 บาท ก่อนที่เขาจะเริ่มให้โอนเงินไปให้เพื่อทำการตรวจสอบ ตนบอกว่ามีเงินอยู่แค่นี้ เขาบอกให้ไปเอาเงินของพ่อแม่โอนมาตรวจสอบด้วย โดยพูดข่มขู่ต่าง ๆ นานาหากไม่หาเงินโอนมา พ่อกับแม่จะถูกดำเนินคดี ด้วยความกลัวตนเลยไปขอยืมโทรศัพท์ของพ่อมา แล้วโอนเงินจากแอปธนาคารขอพ่อจำนวน 21,000 บาท มาที่บัญชีของตน จากนั้นบัญชีของพ่อถูกบล็อกโอนเงินไม่ได้ ตนจึงโอนเงินให้ตรวจสอบได้แค่นั้น  ต่อมา ตนได้ไปยืมโทรศัพท์ของแม่โอนเงินจากแอปธนาคารของแม่มายังบัญชีของตน จำนวน 3 ครั้ง ครั้งละ 49,999 บาท และสแกนหน้าแม่อีก 1 ครั้ง จำนวน 100,000 บาท รวมเป็นเงิน 249,997 บาท ก่อนจะโอนไปให้ตามที่ตำรวจบอก ทั้งหมด ด้าน นางเอ แม่ของผู้เสียหาย กล่าวว่า เมื่อวันที่ื 7 ม.ค. 68 ตนเลิกงานกลับถึงบ้านลูกสาวมาขอยืมโทรศัพท์ตนไปบอกว่าจะไปถ่ายงาน ต้องใช้โทรศัพท์ 2 เครื่อง ตนได้ให้โทรศัพท์ลูกไป จากนั้นลูกเอาเข้าไปในห้องหายไปนาน ตนก็ไม่ได้สงสัยคิดว่าเขาเอาไปถ่ายงานตามปกติ ตนจึงเอาไอแพดมาเล่น จากนั้นได้มีข้อความเด้งขึ้นมา เป็นการเคลื่อนไหวกับบัญชีธนาคาร มีเงินเข้ามา 30,000 บาท ก็แปลกใจว่าเป็นเงินอะไรเข้ามาได้อย่างไร สักพักลูกก็ถือโทรศัพท์มาหาตนบอกว่าแม่สแกนหน้าหน่อย ตนสงสัยสแกนอะไรตนก็ไม่ให้สแกน แต่แล้วลูกก็สแกนหน้าไปได้ แล้วพ่อเขาก็เดินมาบอกว่าเขาโดนลูกยืมโทรศัพท์ไปเหมือนกัน แล้วแอปฯ ธนาคารของพ่อโดนบล็อก ซึ่งตอนนั้นพ่อเขาไม่ทราบว่าเงินได้ถูกเอาออกจากบัญชีไปแล้วหลักหมื่น จากนั้น ตนเห็นว่าเงิน 100,000 บาทถูกโอนออกไป ตนจึงเดินไปเคาะห้องถามลูกว่า เงินออกไปได้ยังไง โดนคอลเซ็นเตอร์หลอกหรือเปล่า ลูกปิดห้องล็อกไม่ตอบอะไร ตนจึงไปยืนแอบฟังเหมือนลูกโทรศัพท์คุยกับใครอยู่ และเหมือนว่าคนที่คุยด้วยกำกับให้ลูกทำนั่นทำนี่ ต่อมาพ่อก็ไปเคาะถามว่าเอาเงินไปได้อย่างไร ใครมาหลอก ลูกก็ตอบว่าเดี๋ยวจะบอกทุกอย่าง เดี๋ยวหลังเที่ยงคืนแล้วเงินจะกลับคืนมา จะบอกทุกอย่างให้พ่อกับแม่รู้ นางเอ กล่าวต่อว่า  ต่อมาวันที่ 8 ม.ค. 68 ตนไปทำงานและบอกกับยายไว้ว่าอย่าให้หลานออกจากบ้านเด็ดขาด จนกระทั่งลูกได้โทรมาบอกให้ตนเอาทองของยายไปขาย แล้วเอาเงินใส่บัญชีไปให้หน่อย ตนถึงได้รู้ว่าลูกออกจากบ้านไปแล้ว ตนก็พยายามถามว่าอยู่ที่ไหนจะได้เอาทองไปใก้กับตัว แต่ลูกก็ไม่บอก จากนั้นลูกได้ส่งคลิปมาให้ตนดูว่าถือมีดคัตเตอร์จี้ที่คอ เพื่อขอให้ตนโอนเงินให้ ตนก็ใจไม่ดีห่วงลูกเพราะเขามีภาวะซึมเศร้าอยู่แล้ว ตนจึงได้ปรึกษากับทางตำรวจร้อยเวร ซึ่งทางตำรวจให้ตนใจแข็งไม่ต้องโอนเงินเพิ่มอีก ซึ่งตนเคยเห็นข่าวที่ผ่านมาว่า ถ้าลูกไม่มีเงินก็จะกลับมา ส่วนเงินที่เข้ามา 30,000 บาท ตนมาทรสบภายหลีงว่าลูกเบิกเงินจากบัตรเครดิตมาใส่บัญชีธนาคารตน เพื่อโอนให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ สุดท้ายลูกไม่มีเงิน จึงยอมบอกว่ามาเปิดห้องพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ย่านถนนราชพฤกษ์ ตนกับสามีจึงได้ขับรถไปรับและพาเข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.เมืองนนทบุรี