5 ธุรกิจไม่รุ่ง! เข้าสู่ภาวะถดถอย “กรมพัฒนาธุรกิจการค้า” เตือนต้องเร่งปรับตัว พร้อมแนะวิธีแก้ไข
วันที่ 25 ธ.ค. 2567 เวลา 10:54 น.
5 ธุรกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย ความนิยมลดลง “กรมพัฒนาธุรกิจการค้า” เตือนให้เร่งปรับตัว พร้อมแนวทางแก้ไข วันนี้ (25ธ.ค.67) นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้า วิเคราะห์ธุรกิจ 5 กลุ่มที่เข้าสู่ภาวะถดถอย ต้องเร่งปรับตัวโดยเร็ว ดังนี้ 1) ธุรกิจการผลิตเหล็ก โลหะมีค่า และอัญมณี ได้แก่ ธุรกิจผลิตเหล็กและเหล็กกล้า ขั้นต้น ขั้นกลาง เหล็กแผ่น ธุรกิจผลิตโลหะมีค่า ธุรกิจผลิตโลหะที่เป็นโครงสร้างของการก่อสร้างอาคาร ธุรกิจผลิตเครื่องประดับ การเจียระไน เพชรพลอย เป็นต้น ธุรกิจการผลิตเหล็ก โลหะมีค่า และอัญมณี ปี 2567 เผชิญภาวะถดถอย โดยปี 2566 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1.87 ล้านล้านบาท ลูกค้ารายสำคัญของธุรกิจนี้ เป็นผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงได้ชะลอการซื้อลง จากผลกระทบด้านความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับในตลาดปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์สังเคราะห์ (เพชรแล็บ) ที่มีราคาถูกเข้ามาตีตลาด ทำให้ความต้องการอัญมณีในตลาดโลกลดลง ส่วนการผลิตเหล็กเผชิญปัญหาการเข้ามาของสินค้าเหล็กจากต่างประเทศซึ่งมีราคาถูก ขณะที่การผลิตเหล็กในประเทศไทยต้องมีการนำเข้าและมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าทำให้ขาดสภาพคล่อง ส่งผลกระทบต่อการผลิตและการขายสินค้า หากต้องการแข่งขันได้ ภาครัฐควรมีแนวทางหรือนโยบายในการป้องกันหรือจำกัดการเข้ามาของสินค้าต่างชาติ ในส่วนของอัญมณีควรได้รับการส่งเสริมในการผลักดันการส่งออก การพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการตลาดอย่างต่อเนื่องทั้งจากภาครัฐและเอกชน 2) ธุรกิจร้านค้าส่งค้าปลีกแบบออฟไลน์ (ร้านค้าโชห่วย) ได้แก่ ธุรกิจขายปลีกสินค้าอื่นๆ ในร้านค้าทั่วไป ธุรกิจการค้าส่งค้าปลีกแบบออฟไลน์ (ร้านค้าโชห่วย) ได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ใช้ช่องทางออนไลน์ในการซื้อสินค้ามากขึ้น แต่ด้วยจุดเด่นที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของธุรกิจที่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในชุมชนจึงเข้าถึงง่ายและรู้จักลูกค้าเป็นอย่างดี จึงสามารถดึงจุดเด่นดังกล่าวมาพัฒนาการให้บริการ เช่น การนำส่งแบบเดลิเวอรี่ การจัดโปรโมชั่น และยังสามารถเข้าร่วมโครงการต่างๆภาครัฐ เพื่อกระตุ้นยอดขาย ทั้งนี้ หน่วยงานรัฐและภาคเอกชนที่มีศักยภาพควรให้การส่งเสริมร้านค้าปลีกชุมชนให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง ด้วยสนับสนุนองค์ความรู้หรือเครื่องมือที่จะในการจัดการและบริการธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 3) ธุรกิจสื่อและการประชาสัมพันธ์แบบออฟไลน์ ได้แก่ ธุรกิจพิมพ์หนังสือพิมพ์และวารสาร ธุรกิจจัดพิมพ์จำหน่ายหรือเผยแพร่โบรชัวร์ใบปลิวและสิ่งพิมพ์อื่นๆ ธุรกิจกิจกรรมเผยแพร่ภาพยนตร์ฯ (จำหน่ายฟิล์มภาพยนตร์ให้แก่โรงภาพยนตร์ เครือข่ายโทรทัศน์ ฯลฯ) เป็นต้น โดยปี 2566 ธุรกิจมีรายได้อยู่ที่ 8.15 พันล้านบาท สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมในยุคดิจิทัล สื่อออฟไลน์ถูกแทนที่ด้วยสื่อออนไลน์ที่มีความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และสามารถวัดผลจากการทำโฆษณาได้อย่างแม่นยำมากกว่าการตลาดแบบออฟไลน์ หากกลุ่มธุรกิจนี้ยังต้องการแข่งขันควรปรับตัวให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคและการพัฒนาของเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อสู่โลกออนไลน์ ทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ เป็นต้น จึงจะสามารถแข่งขันได้ในยุคดิจิทัล 4) ธุรกิจแปรรูปสินค้าทางการเกษตร ได้แก่ ธุรกิจแปรรูปและการถนอมผลไม้และผักด้วยวิธีอื่นๆ ธุรกิจการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำด้วยการอบแห้ง การรมควัน การทำเค็ม การหมักในน้ำเกลือ หรือน้ำส้มสายชูธุรกิจการผลิตเนื้อสัตว์และเนื้อสัตว์ปีกด้วยการ อบแห้ง การทำเค็มหรือการรมควัน ผลกระทบจากสภาวะภูมิอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงส่งผลกระทบต่อผลผลิตมีจำนวนลดน้อยลง รวมทั้งมาตรการทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดส่งผลให้การส่งออกสินค้าของไทยลดลง ต้นทุนทางการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อธุรกิจนี้ให้มีการจัดตั้งลดลง โดยธุรกิจนี้ควรให้ความใส่ใจในกระบวนการเพาะปลูกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (สินค้าออร์แกนิก) การวางแผนการเพาะปลูกเพื่อให้วัตถุดิบมีปริมาณเพียงพอและมีคุณภาพผ่านเกณฑ์มาตราฐานการส่งออกได้ 5) ธุรกิจตัวแทนและนายหน้า ได้แก่ ธุรกิจกิจกรรมของตัวแทนผู้รับจัดการขนส่งสินค้าและตัวแทนออก ธุรกิจกิจกรรมของตัวแทนและนายหน้า ประกันชีวิต ประกันวินาศภัย ธุรกิจกิจกรรมของตัวแทนและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ปี 2566 ธุรกิจมีรายได้รวมอยู่ที่ 2.63 แสนล้านบาท สาเหตุสำคัญมาจากการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ และภาวะกำลังซื้อของผู้บริโภคโดยรวม ซึ่งอาจส่งผลโดยตรงต่อความต้องการในกลุ่มนายหน้า ยังรวมถึงการเพิ่มขึ้นของแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ช่วยให้ผู้ซื้อผู้ขายสามารถติดต่อกันโดยตรง ดังนั้น ธุรกิจจึงควรเน้นการสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน การบริการ ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน สร้างพันธมิตรเครือข่ายร่วมกับตัวแทนอื่นๆ ในตลาดเดียวกัน และใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เข้ามาช่วยในการเชื่อมโยงผู้ซื้อ-ผู้ขายเข้าด้วยกัน เพื่อให้สามารถค้นหาผู้ที่สนใจได้กว้างขึ้นด้วยต้นทุนที่ถูกลง