อธ.อัยการคดีพิเศษ รับสำนวนคดีดิไอคอนกรุ๊ป ยันไม่หนักใจ นัดฟังคำสั่ง 8 ม.ค.ปีหน้า

วันที่ 23 ธ.ค. 2567 เวลา 17:45 น.

ปีใหม่ไม่หยุด อธ.อัยการคดีพิเศษ รับสำนวนคดีดิไอคอนกรุ๊ป เร่งพิจารณาให้ทันครบฝากขัง ยันไม่หนักใจ ขณะที่นัดสั่งคดี 8 ม.ค.ปีหน้า ด้าน ทนายความ ยื่นขอความเป็นธรรม เผยไม่ได้ประวิงคดี  วันนี้ (23 ธ.ค.67) ที่สำนักอัยการคดีพิเศษ ถนนรัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ นำโดย ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ท.อนุรักษ์ โรจน์นิรันดร์กิจ ผู้อำนวยการกองคดีคุ้มครองผู้บริโภค พร้อมด้วย พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ นำสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้อง นายวรัตน์พล หรือบอสพอล และบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด กับพวกรวม 19 ราย กระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ โดยวันนี้ทางพนักงานสอบสวนได้นำพยานเอกสาร 348,209 แผ่น พยานบุคคล 8,071 ปาก มีผู้เสียหายจำนวน 7,875 ราย มูลค่าความเสียหาย จำนวน 1,644 ล้านบาท มาส่งมอบให้ นางเยาวลักษณ์ นนทแก้ว อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ รับสำนวน นางเยาวลักษณ์ กล่าวว่า หลังรับสำนวนคดีนี้จะพิจารณาตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาสำนวน โดยจะมอบหมายให้อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นผู้รับผิดชอบสำนวน และคาดว่าจะใช้พนักงานอัยการในสำนักงานคดีพิเศษประมาณ 5-6 คนทำสำนวน ส่วนกรอบระยะเวลาการพิจารณา ขณะนี้เหลือระยะเวลาฝากขังอีก 1 ฝากเศษ ๆ ไม่เกิน 20 วัน ก็จะเร่งพิจารณาสั่งคดีให้ทันกำหนดฝากขังทั้งหมด 7 ครั้ง โดยช่วงวันหยุดปีใหม่ก็จะเร่งพิจารณาโดยไม่หยุดเพื่อให้ทันเวลา ทั้งนี้ หากทนายผู้ต้องหายื่นหนังสือขอความเป็นธรรม ขอให้สอบพยานเพิ่มจนอาจจะสั่งคดีได้ไม่ทันนั้น เรื่องนี้ไม่กังวล เพราะเรากำหนดกรอบและประเด็นไว้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอบพยานทุกปากตามที่ร้องขอความเป็นธรรม ในส่วนพยานที่อาจจะไม่ได้สอบนั้นทางผู้ต้องหาสามารถนำไปสู้คดีในชั้นศาลได้ เมื่อถามว่า คดีนี้มีคนดังและมูลค่าความเสียหายสูงถือเป็นคดีใหญ่จะหนักใจหรือไม่ นางเยาวลักษณ์ กล่าวว่า สำนักงานอัยการคดีพิเศษเป็นสำนักงานคดีสำคัญมีคดีใหญ่ที่มีมูลค่าความเสียหายสูงอยู่แล้ว ตนไม่ได้รู้สึกหนักใจ เรื่องนี้ทางอัยการจะให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายอย่างแน่นอน ด้านนายนาเคนทร์ ทองไพรวัลย์ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวเสริมว่า อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษจะนัดฟังคำสั่งภายในวันที่ 8 ม.ค.68 โดยขอให้มั่นใจว่าอัยการสำนักงานคดีพิเศษจะเร่งทำสำนวนคดีนี้รอบคอบและทันกรอบเวลา ต่อมา นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวรัตน์พล หรือบอสพอล เปิดเผยหลัง ดีเอสไอส่งสำนวนคดีให้อัยการคดีพิเศษพิจารณาสั่งคดี โดยยอมรับว่า คดีนี้ยังไม่พร้อมที่จะต่อสู้ให้กับลูกความแต่ละคน เนื่องจากยังไม่ได้รับความเป็นธรรมในการได้ข้อมูลทางคดีมาให้ลูกความพิจารณาต่อสู้คดี จึงรวมตัวกับทนายความของผู้ต้องหาทุกคนร่างคำร้องขอความเป็นธรรมกับสำนักงานอัยการสูงสุดใน 4 ประเด็นคือ เรื่องการสอบปากคำพยานของฝั่งดิไคอน ซึ่งขณะนี้ทางดีเอสไอได้สอบปากคำพยานในฝั่งของตนไปเพียง 30 ปากจากจำนวนมากกว่า 2,400 ปาก ในประเด็นนี้ยังถือว่าไม่ติดใจมากนัก อีกส่วนหนึ่งคือประเด็นการสอบปากคำโรงงานผลิตสินค้าของดิไอคอนกรุ๊ป ซึ่งดีเอสไอก็มีการสอบให้ตามคำขอ แต่ประเด็นสำคัญคือเรื่องรายงานพฤติการณ์ของผู้เสียหาย 9,000 กว่าราย ให้สรุปพฤติการณ์มาให้โดยละเอียด รวมถึงรายชื่อของพยานและผู้เสียหายในคดีดังกล่าวว่ามีบุคคลใดบ้าง และมีมูลค่าความเสียหายและรูปแบบพฤติการณ์ของลูกความตนเองอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะได้ทำคำให้การได้ถูกต้อง แต่ปรากฏว่าไม่ได้ให้ตามที่ขอไป นายวิฑูรย์ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนได้ทำเรื่องขอไปทาง DSI ตั้งแต่วันที่ 4  พ.ย.ที่ผ่านมา แต่ DSI ก็ปฏิเสธที่จะไม่ให้ข้อมูลดังกล่าว ซึ่งตนเองได้ทราบข้อมูลว่า ร.ต.อ.สราวุธ รังไสย์ หรือพนักงานสอบสวนคดีดิไอคอนกรุ๊ป ให้สัมภาษณ์ในรายการดังว่าขณะนี้ได้มีการสอบปากคำโรงงานไปเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว และมีรายชื่อของผู้แจ้งความทั้งหมด ซึ่งมองว่าเรื่องนี้ก็ต้องทำอยู่แล้ว และต้องให้หลักฐานดังกล่าวแก่ตนเพื่อใช้ในการต่อสู้คดี เพราะเป็นไปตามกฎหมายมาตรา 134 เนื่องจากการสอบสวนผู้ต้องหาต้องเป็นธรรม และรวดเร็ว และต้องให้โอกาสในการต่อสู้คดีซึ่งเรื่องนี้ไม่มี ฉะนั้นต้องขอความเป็นธรรมกับอัยการสูงสุด ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายมองว่าการที่ตนเองร้องขอความเป็นธรรมกับสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นการยื้อคดี ตนก็ไม่อยากทำ และถ้าดีเอสไอให้ข้อมูลดังกล่าวก็คงไม่ร้องขอความเป็นธรรมแบบนี้ เชื่อว่าทางสำนักงานอัยการสูงสุดจะให้ความเป็นธรรมในเรื่องดังกล่าว แต่หากเรื่องไปถึงชั้นศาลตนก็คงต้องให้ลูกความไม่รับข้อเท็จจริงของพยานและผู้เสียหาย ซึ่งอาจทำให้ศาลต้องสืบพยานทุกคนมองว่าจะยิ่งทำให้ทุกอย่างยิ่งแย่ เสียเวลาทั้งศาลและทุกคน ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า จะดำเนินคดีกับแม่ข่ายของดิไอคอนเพิ่มเติม นายวิฑูรย์ มองว่าหากจะทำจริงต้องมีพยานหลักฐานชัดเจน และไม่อยากให้เรื่องนี้เลยเถิด อย่าทำไปตามกระแส ต้องดำเนินการไปความเป็นจริงและให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ซึ่งก็จะต่อสู้ไปตามกระบวนการของกฎหมาย และพยานหลักฐานที่มี ส่วนประเด็นที่มีแชตถึงผู้เสียหายเป็นลักษณะคล้ายการข่มขู่ นายวิฑูรย์ ยอมรับว่า ตนขอให้ทางดีเอสไอสอบสวนไป ตนใช้สิทธิ์ตามกฎหมายเหมือนกับที่พนักงานสอบสวนใช้สิทธิ์ของตนเอง ซึ่งกฎหมายให้สิทธิ์ในการแจ้งข้อกล่าวหา แต่หากเป็นการแจ้งความเท็จ ตนก็สามารถใช้สิทธิ์ทางกฎหมายในการดำเนินคดีกลับได้ ไม่ใช่มองว่าเป็นผู้ต้องหา จะปิดหูปิดตาทำแบบนี้ก็ไม่ถูก ซึ่งตนยืนยันว่าแค่จะตรวจสอบผู้ที่แจ้งความเท็จ เพื่อที่จะพิจารณาดำเนินคดี “ถ้าหากไม่ได้แจ้งความเท็จ จะไปเดือดร้อนอะไร และผมไปข่มขู่ตรงไหน เอาให้เป็นธรรมตรงไปตรงมาอย่าเอาสะใจ มันไม่ดี” เมื่อถามว่า จะมีการยื่นประกันตัวอีกหรือไม่ นายวิฑูรย์ ระบุว่า เบื้องต้นมีคนยื่นประกันตัวไปแล้ว 4 คน ครั้งนี้ก็อาจจะมีการยื่นประกันตัวในวันที่อัยการสั่งฟ้องก็เป็นได้ เบื้องต้นยังไม่ได้คุยเรื่องหลักทรัพย์การประกันตัว จะไปถามกับญาติของผู้ต้องหาก่อน ท้ายที่สุด หากอัยการสูงสุดสั่งฟ้อง เราก็ต้องพร้อมสู้คดี แต่ในชั้นสอบสวนตอนนี้เรายังมีหลายประเด็นที่ต้องการให้สอบสวนต่อ และยังสอบสวนไม่ครบ ยังมีอีกหลายเรื่องที่เรายังไม่ได้รับสิทธิ์ตามกฏหมายเลย