ดีเอสไอสรุปสำนวนสั่งฟ้องดิไอคอน ขนหลักฐานส่งอัยการ 3.4 แสนแผ่น

วันที่ 23 ธ.ค. 2567 เวลา 12:10 น.

ดีเอสไอสรุปสำนวนสั่งฟ้องดิไอคอน ขนหลักฐานส่งอัยการ 3.4 แสนแผ่น ฟ้องครบ 19 ราย 5 ข้อหา อายัดทรัพย์ในคดีฟอกเงิน 747 ล้าน วันนี้ (23 ธ.ค.67) พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า วันนี้ดีเอสไอได้ส่งสำนวนการสอบสวนคดีดิไอคอน ฉ้อโกงประชาชน จำนวน 348,209 แผ่น รวม 161 ลัง ไปส่งมอบที่สำนักงานคดีพิเศษเพื่อให้พนักงานอัยการมีความเห็นทางคดีต่อไป โดยคดีนี้ดีเอสไอใช้เวลาในการสอบสวน เพียง 54 วัน โดยสำนักงานอัยการสูงสุด มอบหมายให้พนักงานอัยการมาเป็นที่ปรึกษาในคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานแรกที่รับเรื่องและประสานความร่วมมือด้วยดีตลอดมา กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สถาบัน นิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งสนับสนุนในการเก็บและตรวจพิสูจน์พยานหลักฐาน และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ในการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์เพื่อนำไปเฉลี่ยคืนให้กับผู้เสียหาย สำหรับคดีนี้ 18 บอสดิไอคอน กรุ๊ป ถูกแจ้งข้อหาฉ้อโกงประชาชนและความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ จากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) มาดำเนินการสอบสวนเป็นคดีพิเศษที่119/2567 ตั้งแต่วันที่ 30 ต.ค.67 ซึ่งในคดีนี้มีพยานเอกสารถึง 348,209 แผ่น พยานบุคคล 8,071 ปาก มีผู้เสียหายจำนวน 7,875 ราย มูลค่าความเสียหาย จำนวน 1,644 ล้านบาท ปรากฏตัวผู้ต้องหา จำนวน 19 ราย ซึ่งเป็นนิติบุคคลจำนวน 1 ราย คือ บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด และผู้ต้องหาซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา 18 คน ได้แก่ นายนายวรัตน์พล หรือบอสพอล กับพวก ได้ดำเนินการอายัดทรัพย์สินในคดีฟอกเงิน จำนวน 747,640,000 ล้านบาท อาทิเช่น อาคารและที่ดิน             เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.67 คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ มีมติเห็นควรเสนอให้พนักงานอัยการสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 19 ราย ในความผิดฐาน 1.ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน (แชร์ลูกโซ่ 2. ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจ โดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าว ซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น 3. ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต 4. ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ 5. ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน