หนุ่มตาบอดพาเมียหนีแก๊งทวงหนี้ ซุกป่ามัน หลังพี่สาวขอร้องให้ช่วยใช้ชื่อกู้เงินนอกระบบ แต่หาจ่ายไม่ทัน

วันที่ 18 ธ.ค. 2567 เวลา 11:13 น.

ตำรวจ สภ.โนนสุวรรณ จ.บุรีรัมย์ บุกช่วยหนุ่มตาบอดพาเมียหนีแก๊งทวงหนี้ ซุกป่ามัน  หลังพี่สาวขอร้องให้ช่วยใช้ชื่อกู้เงินนอกระบบ แต่หาจ่ายไม่ทัน จึงถูกข่มขู่ต้องมารับภาระแทนพี่สาว เผยดอกเบี้ยโหดร้อยละ 20 ต่อวัน (18 ธ.ค.67) ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก นายสมชาย อายุ 38 ปี ชาวอำเภอหนองกี่ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งพิการตาบอด ว่าถูกแก๊งทวงหนี้ตามทวงเงินข่มขู่ จนไม่สามารถอยู่บ้านได้ ต้องพา นางจิราพร อายุ 40 ปี ภรรยาหนีข้ามอำเภอไปอยู่บ้านญาติที่ อ.โนนสุวรรณ บางวันต้องแอบซ่อนตัวในป่า เพราะกลัวจะถูกแก๊งทวงหนี้ทำร้าย หลังจากพี่สาวซึ่งมีอาชีพค้าขายขอใช้นายสมชาย และภรรยา ใช้ชื่อกู้เงินนอกระบบให้ แต่พี่สาวหาเงินจ่ายทั้งต้นและดอกเบี้ยร้อยละ 20 ต่อวันไม่ไหว จึงหนีหายไปปล่อยให้นายสมชาย ซึ่งพิการตาบอดและภรรยา ต้องรับภาระจ่ายแทนเฉลี่ยวันละ 2,600 บาท ทั้งคู่หาจ่ายไม่ไหวเหมือนกันจึงจำเป็นต้องหนี และตัดสินใจร้องขอความช่วยเหลือผ่านสื่อ โดยล่าสุดบอกว่าซ่อนตัวอยู่ในป่ามันในพื้นที่ ต.โนนสุวรรณ อ.โนนสุวรรณ ไม่กล้ากลับบ้าน หลังได้รับแจ้งทีมข่าวจึงได้ประสานไปยัง สภ.โนนสุวรรณ จากนั้น พ.ต.อ.คณัสนันท์ สุวรรณทรัพย์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรโนนสุวรรณ จ.บุรีรัมย์ จึงได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.กิตติทัศน์ วงษ์ถาวร สารวัตรป้องกันปราบปราม สภ.โนนสุวรรณ พร้อมเจ้าหน้าที่สายตรวจลงพื้นที่ไปตรวจสอบ และความช่วยเหลือ เมื่อไปถึงบริเวณป่ามันติดกับสวนยางพาราในพื้นที่ ต.สุวรรณ  ตามที่ได้รับแจ้งก็พบนายสมชาย  ซึ่งพิการตาบอด  และนางจิราพร ภรรยา นั่งหลบอยู่ในป่าด้วยอาการตื่นกลัว      จากการสอบถามนายสมชาย บอกว่า ตาซ้ายบอดสนิทมาแต่กำเนิด สวนข้างขวามองเห็นลางๆ แต่มีความสามารถในการซ่อมเครื่องเสียง เมื่อมาแต่งงานอยู่กินกับภรรยา จึงเปิดร้านขายเครื่องเสียง รับซ่อม และรับงานเกี่ยวกับเครื่องเสียงที่ อ.หนองกี่ ส่วนพี่สาวมีอาชีพค้าขายแต่ซึ่งพี่สาวร่างกายปกติไม่ได้พิการ จู่ๆ เมื่อช่วงประมาณเดือน ต.ค.67 ที่ผ่านมา พี่สาวมาขอร้องให้ตน และภรรยาใช้ชื่อกู้เงินนอกระบบให้ เพราะเดือดร้อนหมุนเงินไม่ทัน ประกอบกับก่อนหน้านี้พี่สาวใช้ชื่อตัวเองกู้เงินนอกระบบไปหลายเจ้าแล้ว เขาจึงไม่ปล่อยให้อีก พี่สาวจึงขอร้องให้ตนกับภรรยา ช่วยใช้ชื่อกู้ให้เพราะมีหน้าร้านชัดเจน  ด้วยความสงสารและเห็นว่าเป็นพี่สาวคงไม่ทำให้เดือดร้อน ตนกับภรรยาจึงยอมใช้ชื่อกู้เงินนอกระบบให้ ตอนแรกกู้ 10,000 บาท กำหนดจ่ายวันละ 500 บาท 24 วัน รวมเป็น 12,000 บาท ซึ่งพี่สาวเป็นคนรับผิดชอบจ่ายเอง   ต่อมาเดือนเดียวกันพี่สาวบอกว่าเงินไม่พอขอให้ช่วยกู้จากเจ้าอื่นเพิ่มอีก 10,000 บาท จึงใช้ชื่อภรรยา กู้ให้ เขาก็รับปากจะรับผิดชอบเอง จากนั้นพี่สาวก็ใช้ชื่อของตนเองและภรรยา ไปกู้เงินนอกระบบกับเจ้าอื่นๆ อีก รวมเป็น 6 เจ้า  เงินต้นประมาณ 60,000 บาท  ต้องจ่ายทั้งต้นและดอกเบี้ยวันละ 2,600 บาท  ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร   กระทั่งวันที่ 16 ธ.ค.67  ที่ผ่านมา   พี่สาวบอกว่าจะไปทำงานแล้วก็หายไปติดต่อไม่ได้ แก๊งทวงหนี้จึงมาตามทวงกับตนเองและภรรยาที่ร้านเครื่องเสียงที่ อ.หนองกี่ ก็จำเป็นต้องจ่ายให้เขาไปทั้ง 6 เจ้า รวม 2,600 บาท   พอวันที่ 17 ธ.ค. มาตามทวงอีก ตนก็บอกว่าไม่มีให้  เขาก็ขู่ว่า “อย่ามีปัญหามาก” จึงไปร้องเพลงเปิดหมวกที่ตลาดเพื่อหาเงินมาให้เขา   กระทั่งคุยกับภรรยาว่าถ้าจ่ายให้จ่ายแทนวันละ 2,600 บาท จนครบ 24 วัน คงไม่ไหว เพราะแก๊งทวงหนี้เขาก็รู้ว่าพิการตาบอด และก็พยายามอธิบายว่าเงินที่กู้ไปเป็นของพี่สาว แค่ใช้ชื่อกู้ให้แต่เขาก็ไม่สนใจ  เขายืนกรานว่ากู้ไปก็ต้องจ่ายไม่มีข้ออ้าง ด้วยความกลัวจึงตัดสินใจหนีไปบ้านญาติ ต่างอำเภอ  และไปซ่อนตัวอยู่ตามป่ามัน สวนยางบ้าง และร้องขอความช่วยเหลือ ไม่ได้คิดจะหนีหากเป็นไปได้ก็อยากให้มีการไกล่เกลี่ย  เพราะเงินที่กู้ไปพี่สาวเป็นคนเอาไปใช้แต่ตนต้องมารับภาระแทน หลังจากนั้นตำรวจก็ได้พาสองสามีภรรยา  ไปแจ้งลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.โนนสุวรรณ  พร้อมทั้งจะประสานกับศูนย์ดำรงธรรมอำเภอเพื่อดำเนินการช่วยเหลือตามขั้นตอนต่อไป