หนุ่มถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ขู่จับบัญชีม้า โอนเงินปู่-ย่า เกลี้ยงบัญชี 3.4 ล้าน

วันที่ 12 ธ.ค. 2567 เวลา 17:32 น.

หนุ่ม 17 ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขู่จับบัญชีม้า โอนเงินปู่-ย่า เกลี้ยงบัญชี สูญเงินกว่า 3.4 ล้านบาท 12 ธ.ค. 67 เมื่อเวลา 11.00 น. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านหลังหนึ่งในพื้นที่บ้านกุดค้า ม.10 ต.ทุ่งฝน อ.ทุ่งฝน จ.อุดรธานี หลังได้รับการร้องเรียนจากนายวันดี อายุ 63 ปี นางอภัย อายุ 56 ปี สองสามีภรรยา เจ้าของบ้าน ซึ่งเป็นปู่และย่า ของนายรพีภัทร อายุ 17 ปี ว่า หลานชายถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง โทรมาข่มขู่ว่ารับจ้างเปิดบัญชีม้า เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน เมื่อหลงเชื่อได้โอนเงินจากบัญชีของปู่และย่า เพื่อให้เขาตรวจสอบแสดงความบริสุทธิ์ใจ แต่เมื่อรู้ตัวอีกทีก็โอนเงินไปจนหมดบัญชี สูญเงินไปทั้งสิ้น 3,412,642 บาท โดยนายรพีภัทร เล่าว่า เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. วันที่ 9 ธ.ค. 67 ตนได้รับโทรศัพท์จากชายคนหนึ่งอ้างว่า เป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ บอกว่า ได้มีการจับกุมคดีฟอกเงิน มีการอายัดบัญชีธนาคาร 48 เล่ม 1 เล่มเป็นของตน ซึ่งจะต้องถูกตรวจสอบ หลังจากนั้นก็ให้ตนแอดไอดีไลน์ จากนั้นก็ส่งเอกสารมาในไลน์ ระบุเป็นคำสั่งลับจากทางราชการ ขออายัดบัญชีและตรวจสอบ เขาพูดจาน่าเชื่อถือ พูดเหมือนเป็นเจ้าหน้าที่ พูดกับตนจนเกิดความกลัวว่าจะถูกจับจริง ๆ จากนั้นก็พูดคุยผ่านวิดีโอคอล กับผู้หญิงใส่ชุดเครื่องแบบ เขาก็พูดจาโน้มน้าวให้เชื่อ มีการสลับไปพูดคุยกับตำรวจผู้ชาย แต่งตัวคล้ายตำรวจเช่นกัน ก็ยิ่งทำให้ตนหลงเชื่อ ทุกครั้งก็จะเน้นว่าเป็นความลับ ห้ามบอกใคร “หลังจากตนหลงเชื่อแล้วก็ถามว่าบัญชีตนมีเงินเท่าไร ตนก็บอกไม่มี เขาขู่ขอตรวจสอบบัญชีว่าไม่ติดขัดด้านการเงิน ไม่ได้เป็นบัญชีม้า ให้ตนไปหาเงินมาโอนเข้าบัญชีเพื่อตรวจสอบ เพราะตนอาจจะโอนไปไว้บัญชีคนอื่น ตนก็บอกว่าอยู่กับปู่กับย่า จะมีเงินได้อย่างไร แต่ตนก็หลงเชื่อโอนเงินจากบัญชีย่าไปให้เขาตรวจสอบ จากนั้นก็มีการโน้มน้าวอีก จนโอนไปอีกหลายครั้ง ตั้งแต่หลักหมื่น หลักแสน เยอะที่สุดเกือบ 2 ล้านบาท โอนตั้งแต่ช่วงเที่ยง จนถึง 18.00 น. ตนโอนไปทั้งสิ้น 12 ครั้ง ทั้งจากบัญชีย่าและปู่ รวมเป็นเงิน 3.4 ล้านบาท ตอนนั้นก็ยังเชื่อเขาอยู่ เพราะตนกลัวมาก” นายรพีภัทร เล่าอีกว่า กระทั่งตอนเช้าก็ได้มาปรึกษาย่า เพราะเขาบอกให้ย่าเข้ามาพูดคุยในวิดีโอคอลด้วย เขาบอกให้ย่าเอาทองไปจำนำ แล้วให้โอนเงินไปตรวจสอบ แต่ย่าไม่ยอมทำตาม หลังจากนั้นก็เริ่มติดต่อไม่ได้ แล้วถูกบล็อกไลน์ทันที โทรไปก็ไม่ติด หลังจากนั้นตอนเช้า ตนก็เริ่มหาข้อมูลข่าว ก็ตรวจสอบพบว่ามีข่าวของพี่ชาล็อต ออสติน ก็พบว่ามีพฤติกรรมแบบเดียวกัน ตนก็เลยรู้ว่าถูกมิจฉาชีพหลอกแล้ว รู้สึกตกใจและเสียใจมาก ที่ทำให้ปู่และย่าเดือดร้อน ด้านนางอภัย ย่าของนายรพีภัทร เล่าว่า ช่วงที่คุยวิดีโอคอลกับเขา เขาก็ยังพูดจาโน้มน้าวให้เอาทองไปจำนำ เพราะถ้าไม่ให้ตรวจสอบจะมาจับที่บ้าน จะยึดทรัพย์สินทุกอย่าง สุดท้ายแม่ก็ไม่ได้ไปจำนำทอง แล้วก็ติดต่อเขาไม่ได้ จึงรู้ว่าถูกหลอก จากนั้นก็ตนก็ไปแจ้งความที่ สภ.ทุ่งฝน ไปอายัดบัญชีคนร้ายทั้งหมด แต่ก็ไม่รู้ว่าอายัดทันหรือไม่ อยากให้ตำรวจช่วยเหลือด้วย อยากได้เงินกลับคืนมา เพราะเป็นเงินเก็บมาทั้งชีวิต ปู่ไปทำงานเมืองนอกมาหลายประเทศ ทำมานานกว่า 18 ปี ปู่กลับมาก็พาย่า และลูก ๆ ไปทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง อีกหลายปี เงินในบัญชีตอนนี้หมดแล้วทุกบัญชี ไม่เหลือเลยสักบาท ให้อภัยหลานอยู่แล้ว เพราะเลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก เหมือนลูกคนหนึ่ง ขณะที่ นายวันดี ปู่ของนายรพีภัทร เล่าว่า หลานแอบทำเรื่องนี้คนเดียว หลานมาสแกนหน้าย่าขณะนอนพักผ่อนในบ้าน บอกจะทำแอปพลิเคชัน กระทั่งตอนบ่ายสอง หลานมาชวนย่าไปธนาคารเพื่อไปถอนเงิน บอกว่าจะเอามาให้เขาตรวจสอบ หลานก็ทำท่าจุ๊ปาก ให้เงียบไว้ ห้ามบอกใคร เดี๋ยวจะถูกจับ ตนก็ถามว่าตำรวจอยู่ไหน หลานก็บอกว่าอยู่ธนาคารเต็มเลย ตนก็ห้าม แต่หลานก็ไม่ฟัง ย่าก็พาหลานไปทันที พอกลับมาแล้ว ตอนที่รู้ว่าเงินหมดบัญชีแล้ว ตนก็ต่อว่าหลานทำไมถึงโง่จัง อย่างอื่นทำไมเก่งจัง หลานก็บอกกลัวเขามาจับ “ปู่ให้อภัยหลานอยู่แล้ว ไปแจ้งความ ตำรวจก็ถามจะแจ้งความหลานหรือไม่ ตนก็บอกถ้าจะจับหลานมันก็เหมือนจับตน ไม่ต้องดำเนินคดีหลาน ตอนแรกตนก็ไม่ได้รู้สึกตกใจ แต่พอมานอนคิดเมื่อคืนก็ได้แต่นอนน้ำตาไหล เพราะเป็นเงินเก็บมาทั้งชีวิต ตอนนี้แก่มากแล้ว หากไม่ได้เงินคืน ก็คงต้องหากินไปวัน ๆ อยู่ไปตามประสาแบบนี้ หากติดต่อกันได้ตอนนั้นก็คิดว่าคงไม่ต้องเสียเงินขนาดนี้ หากตนรู้คงต่อว่ากันได้ก่อน ปกติหลานเป็นคนไม่ค่อยเชื่อใครง่าย ๆ แม้แต่ปู่ย่าที่เลี้ยงมายังไม่ค่อยเชื่อเลย แค่เขามาขู่ก็เชื่อเขา ทำไมหลานถึงทำตัวแย่ได้ขนาดนี้”