รวบ 2 ตำรวจเก๊ ปล้นทรัพย์ นทท.เวียดนาม ได้เงินสด 1.2 แสนบาท-รถยนต์ 1 คัน เร่งตามจับอีก 1 ราย
วันที่ 29 พ.ย. 2567 เวลา 17:56 น.
ตำรวจเก๊ ปล้นทรัพย์ นทท.เวียดนาม ได้เงินสด 1.2 แสนบาท-รถยนต์ 1 คัน จับได้แล้ว 2 ราย เร่งตามจับอีก 1 ราย พร้อมขยายผลหาตัวคนชี้เป้า วันนี้ (29 พ.ย.67) พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธนันท์ธร รัตนสิทธิภาคย์ ผบก.น.4 พ.ต.ท.ธรรศพงศ์ พัฒนกิตติสกุล รรท. ผกก.สน.ลาดพร้าว และชุดสืบสวน บก.สส.บก.น.4 และสืบสวน สน.ลาดพร้าว จับกุมผู้ต้องหา 2 รายแอบอ้างเป็นตำรวจปล้นทรัพย์นักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ นายกิตติชัย หรือ กุ่ย/โน้ต และนายพงษ์พัฒน์ หรือ ฟี่ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา 5782-5783/2567 ในข้อหา "ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีหรือใช้อาวุธปืนโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุมและแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน โดยตนเองมิได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจกระทำการนั้น" พล.ต.ต.นพศิลป์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา มีผู้เสียหายชาวเวียดนาม 2 คน เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย และเพื่อนชาวไทยให้ยืมรถมาขับท่องเที่ยว โดยนำรถไปจอดไว้ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านบึงกุ่ม จู่ๆ ก็มีคนร้าย 3 คน หนึ่งในนั้นสวมเสื้อเกราะ ห้อยบัตรตำรวจ พกวิทยุสื่อสารและอาวุธปืนลูกโม่ อ้างเป็นตำรวจมาขอตรวจค้นรถยนต์คันดังกล่าว บอกว่าเป็นรถที่ถูกใช้ในการขนส่งยาเสพติดจำนวนหลายครั้ง เนื่องจากผู้เสียหายเป็นชาวเวียดนาม สื่อสารภาษาไทยไม่ได้ จึงเกิดความหวาดกลัว แม้จะไม่มีประวัติเกี่ยวกับยาเสพติดมาก่อน แต่ยอมให้ตรวจค้นภายในรถ โดยมีพรรคพวกของนายกุ่ยอีก 2 คน คือนายปาล์ม และนายฟี่ ถืออาวุธปืนยืนคุมเชิงขู่ผู้เสียหายอยู่ในร้านอาหารว่าอย่าขัดขืน มิฉะนั้นจะใช้กำลัง ส่วนนายกุ่ย ยึดกระเป๋าสะพายผู้เสียหายที่ภายในมีเงินสด 120,000 บาท และยึดกุญแจรถ ก่อนที่จะขับรถของผู้เสียหายหนีไป เมื่อผู้เสียหายออกมาจากห้องอาหาร ก็ไม่พบรถและกระเป๋าของตนเองแล้ว เพื่อนชาวไทยซึ่งเป็นเจ้าของรถทราบเรื่องจึงพาเข้าแจ้งความ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามตัวนายกุ่ยไว้ได้ ส่วนนายฟี่ ก็ถูกจับกุมได้แล้วเช่นกันที่จังหวัดนครราชสีมา กำลังนำตัวมาดำเนินคดีที่ สน.ลาดพร้าว เหลือเพียงนายปาล์ม ที่ยังหลบหนีอยู่ ตำรวจกำลังเร่งติดตามจับกุมตัว จากการสอบปากคำนายกุ่ย ให้การรับสารภาพว่า ตนกำลังขัดสนเรื่องเงินทอง นายฟี่และนายปาล์มจึงชักชวนให้มาร่วมก่อเหตุปล้นทรัพย์ชาวเวียดนาม โดยรู้ว่าชาวเวียดนามเป้าหมายอยู่ที่ร้านแห่งหนึ่ง ส่วนชุดเสื้อเกราะตำรวจที่นายปาล์มใส่ก็สั่งซื้อมาจากทางออนไลน์ เงินที่ได้มา 120,000 บาทก็นำมาแบ่งกัน โดยนายกุ่ยได้ 40,000 บาท ส่วนรถยนต์ของผู้เสียหาย นำไปส่งให้นายใหญ่ ที่ตลาดย่าน สาเหตุที่เลือกผู้เสียหาย เพราะเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาท่องเที่ยวแป๊บเดียว แล้วก็กลับประเทศ ไม่น่าจะแจ้งความ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหาพบว่า ทั้ง 3 คนมีประวัติอาชญากรรมยาวเป็นหางว่าว โดยนายกุ่ยมีประวัติเล่นการพนัน ครอบครองยาเสพติด ร่วมกันลักทรัพย์รถจักรยานยนต์และรับของโจร และจากการตรวจค้นรถของนายกุ่ย ก็พบประแจ 8 เหลี่ยม ซึ่งแก๊งลักรถนิยมใช้ รวมถึงสมุดเล่มทะเบียนรถ 4 เล่ม และป้ายทะเบียนรถยนต์อีกหลายแผ่น น่าเชื่อได้ว่าเกี่ยวข้องกับแก๊งลักรถแน่นอน ส่วนนายฟี่ ที่จับได้ที่จังหวัดนครราชสีมา ก็มีประวัติชิงทรัพย์เมื่อปี 2556 ส่วนนายปาล์มที่หลบหนีอยู่ มีประวัติทั้งครอบครองยาเสพติด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ลักทรัพย์และรับของโจร ยักยอกทรัพย์ และฉ้อโกงอีก 6 คดี นอกจากนี้ ตำรวจยังเชื่อว่าน่าจะมี "คนชี้เป้า" เพราะกลุ่มผู้ก่อเหตุรู้ความเคลื่อนไหวของผู้เสียหายชาวเวียดนาม ซึ่งกำลังขยายผลต่อไป ทั้งนี้ ยืนยันว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุ ไม่ใช่ตำรวจ แต่ใส่เครื่องแบบและแอบอ้างเป็นตำรวจ และน่าจะก่อเหตุกับนักท่องเที่ยวต่างชาติมาแล้วหลายครั้ง แต่นักท่องเที่ยวไม่ได้แจ้งความและเดินทางกลับประเทศไปแล้ว พล.ต.ต.นพศิลป์ ยังบอกอีกว่า การแอบอ้างแต่งกายเป็นตำรวจ และทำให้ตำรวจเสียหาย เข้าข่ายความผิดแสดงตนเป็นเจ้าพนักงาน และกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน ซึ่งตนเองไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจ มีความผิดชัดเจนนอกเหนือจากอาชญากรรมที่ก่อ และไม่ว่าจะเป็นคดีนี้ หรือคดีที่สน.วัดพระยาไกร ที่ใส่เครื่องแบบตำรวจแล้วไปถ่ายคอนเทนต์อนาจาร ก็ได้กำชับเร่งติดตามตัวมาดำเนินคดีทั้งหมด