กองปราบ ส่ง 14 สำนวนคดีแอม ไซยาไนด์ ให้อัยการ มั่นใจพยานหลักฐาน
วันที่ 26 พ.ย. 2567 เวลา 10:57 น.
มั่นใจพยานหลักฐาน กองปราบส่ง 14 สำนวนคดีแอม ไซยาไนด์ วางยาพิษสังหารเหยื่อ ให้อัยการคดีอาญา ด้าน “สัญจัย” จ่อตั้งอัยการพิจารณา วันนี้ (26 พ.ย.67) พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธํารงค์ผู้ช่วย ผบ.ตร. และพ.ต.อ. เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม และพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม นำสำนวนคดี นางสรารัตน์ หรือ “แอม ไซยาไนด์” ผู้ต้องหาในคดีวางยาฆ่าผู้อื่นอีก 14 คดี ส่งมอบให้แก่ นายสัญจัย จันทร์ผ่อง อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา ถนนรัชดาภิเษก เพื่อพิจารณาสั่งฟ้อง โดยทั้งหมดกล่าวหานางสรารัตน์ ในความผิดข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ และปลอมปนอาหาร ยาหรือเครื่องอุปโภคบริโภคอื่นใด เพื่อบุคคลอื่นเสพหรือใช้ หลักการปลอมปนนั้นน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่สุขภาพ โดยเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย พล.ต.ท.ธนายุตม์ เปิดเผยว่า ทั้ง 14 สำนวน มีการประชุมรวบรวมพยานหลักฐาน พยานเอกสาร พยานบุคคล และผู้ชำนาญการ เชื่อมโยงร้อยเรียงสำนวนในแผนประทุษกรรมของผู้ต้องหา ในการกระทำความผิดครั้งนี้มีการไตร่ตรองไว้ก่อน มีมูลเหตุจูงใจวางแผนเชื่อมโยง ทุกสำนวนสอบสวนกองปราบปรามได้ร่วมมือกับทางตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรติดตามคดีอย่างต่อเนื่อง และมีความเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 14 สำนวน โดยพฤติกรรมของคนร้ายมีความโหดเหี้ยม เลือดเย็น ใช้สารเคมีในอาหารและเครื่องดื่มเป็นอันตรายต่อชีวิต เป็นการฆ่าแบบต่อเนื่อง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 14 คน รอดชีวิตเพียง 1 คน หากไม่สามารถจับกุมได้ อาจมีผู้เสียชีวิตมากกว่านี้ ต้องขอขอบคุณพนักงานสืบสวนสอบสวนที่ได้ทำงานกันอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ผบ.ตร.คาดหวังจะคืนความเป็นธรรมให้แก่พี่น้องประชาชนและญาติผู้เสียชีวิตทุกคน ศาลและอัยการได้คืนความเป็นธรรมให้แก่ น.ส.ศิริพร หรือก้อย ผู้เสียชีวิตในคดีแรกได้ และทั้ง 14 คดีนี้ เป็นคดีที่สำคัญ ตนจึงเดินทางมามอบสำนวนให้แก่อัยการด้วยตัวเอง พล.ต.ท.ธนายุตม์ กล่าวอีกว่า การพิจารณาสำนวนตัดสินคดี น.ส.ศิริพร หรือก้อย นั้น ทีมพนักงานสอบสวนได้นำคำพิพากษามาปรึกษากัน เพื่อเชื่อมโยงและร้อยเรียงการสอบสวนรวมถึงพฤติกรรมแผนประทุษกรรมของคนร้าย และสาเหตุจูงใจในการก่อเหตุ แม้ไม่มีประจักษ์พยานเห็นเหตุการณ์ แต่ทีมพนักงานสืบสวนสอบสวนมั่นใจพยานหลักฐานทุกอย่าง ทั้งพยานบุคคล พยานเอกสารและพยานนิติวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะพยานด้านนิติวิทยาศาสตร์ที่ไม่สามารถโกหกหลอกลวงได้ จะยืนยันการกระทำความผิดของผู้ต้องหารายนี้ ขอให้ญาติผู้เสียชีวิตทั้งหมดมั่นใจได้ว่า ตำรวจให้ความสำคัญทั้งหมด รวมถึงในชั้นสืบพยานคดีนี้ด้วย ส่วนคำพิพากษาอยู่ที่ดุลพินิจของศาลว่าจะลงโทษผู้ต้องหาอย่างไร สำหรับการอุทธรณ์เป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่สามารถทำได้จนถึงชั้นฎีกา ซึ่งการทำสำนวนก็ได้ปรึกษากับอัยการตลอด จึงเพิ่มความมั่นใจได้ ส่วนกรณีทนายพัชที่ศาลมีคำพิพากษาในคดีที่ร่วมกับแอม ไซยาไนด์ นำกระเป๋าทรัพย์สินของกลางไปซ่อนเร้นและศาลมีคำพิพากษาไปแล้วนั้น จากพยานหลักฐานพบว่า ทนายพัชมีส่วนรู้เห็นในการช่วยเหลือจำเลยให้พ้นผิด รวมทั้งอดีตสามีที่เป็นตำรวจที่ถูกคำพิพากษาเช่นกัน ตอนที่ตนดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ได้สอบวินัยให้ออกจากราชการไว้ก่อน ส่วนปัจจุบันขอตรวจสอบรายละเอียดสถานะ ย้ำแม้มีการดำเนินคดีทางวินัยแล้ว ทางคดีอาญาหากศาลตัดสินก็จะมีการลงโทษแน่นอน ด้าน นายสัญจัย เผยว่า หลังได้รับสำนวนจากตำรวจทั้ง 14 คดี จะตั้งอัยการขึ้นมาพิจารณาสำนวน ส่วนจะตั้งใครหรือจะต้องเป็นคณะทำงานหรือไม่ก็จะต้องพิจารณาอีกที โดยเรื่องกรอบระยะเวลาตอนนี้ยังไม่ได้กำหนด เท่าที่ทราบตัวถูกควบคุมอยู่