อุบัติเหตุสลด ครูพานักเรียนขี่รถ จยย. กลับไม่ถึงบ้าน ถูกรถตู้หรูพุ่งชน ตาย 2 เจ็บ 5

วันที่ 24 พ.ย. 2567 เวลา 08:00 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 19.00 น.วันที่ 23 พ.ย. 67 ที่ผ่านมา ร.ต.อ.ศรีไพร บุญกลาง รองสารวัตร(สอบสวน) สภ.เกษตรวิสัย ได้รับแจ้งว่ามีเหตุรถยนต์ชนรถจักรยานยนต์บนถนนสายเกษตรวิสัย-พยัคฆภูมิพิสัย บริเวณสามแยกจะไป อ.ปทุมรัตต์ หมู่ 14 ต.เกษตรวิสัย อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายคน จึงไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.ท.ปรีชา คำทองเขียว รอง ผกก.สภ.เกษตรวิสัย แพทย์เวรโรงพยาบาลเกษตรวิสัย และหน่วยกู้ภัยอโศกเกษตรวิสัย ที่เกิดเหตุพบรถตู้หรู สีขาว ทะเบียน 3ขญ 7757 กรุงเทพมหานคร ตกลงไปในคลองข้างถนน สภาพรถถูกเพลิงไหม้เสียหายทั้งคัน โดยมีผู้บาดเจ็บ 4 คน นอกจากนั้นบนถนนฝั่งตรงกันข้าม พบรถจักรยานยนต์ สีน้ำเงิน ทะเบียน 2กฎ 6437 สกลนคร ล้มคว่ำอยู่ริมถนน สภาพพังยับเยิน มีร่องรอยถูกชนที่ด้านขวา ซึ่งพบผู้เสียชีวิตที่มากับรถจักรยานยนต์ 2 คน ทราบชื่อ นายมานพ แพงวง หรือ ครูก้อง เป็นครูโรงเรียนบ้านดงครั่งน้อย และ ด.ช.ชนะชัย อายุ 12 ขวบ เป็นนักเรียนโรงเรียนบ้านดงครั่งน้อย ส่วนผู้ที่นั่งจักรยานยนต์มาด้วยกันบาดเจ็บสาหัสอีก 1 คน ชื่อ นายกฤตพจน์ อายุ 17 ปี เป็นนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคเกษตรวิสัย ถูกส่งไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลร้อยเอ็ด จากการสอบสวนในเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุนายมานพ หรือ ครูก้อง ได้นำ ด.ช.ชนะชัย และ นายกิตติพจน์ ไปร่วมแข่งขันกีฬาเกษตรวิสัยคัพครั้งที่ 2 ที่สนามกีฬาแฟลตตำรวจ สภ.เกษตรวิสัย หลังจากเสร็จจากการแข่งขันกีฬา ครูก้องจึงขี่รถจักรยานยนต์โดย ด.ช.ชนะชัยนั่งกลางและนายกฤตพจน์นั่งหลังสุด เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นสามแยก ครูก้องขี่รถจะข้ามไปถนนฝั่งตรงกันข้าม ในขณะเดียวกันก็มีรถตู้คู่กรณี ขับโดย นายทรงศักดิ์ อายุ 50 ปี ขับมาจากทาง อ.พยัคฆภูมิพิสัย มุ่งหน้าไป อ.เกษตรวิสัย เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุเบรกไม่ทันพุ่งชนรถจักรยานยนต์เต็มแรง จนทำให้ผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บกระเด็นตกลงจากรถ ส่วนรถตู้เสียหลักตกลงไปข้างถนนคนขับและผู้โดยสารรวม 4 คน ประกอบด้วย นายทรงศักดิ์ คนขับ นางศศิลิตา อายุ 49 ปี ภรรยา นายกฤษณะ อายุ 50 ปี และ นางละเอียด อายุ 58 ปี ที่นั่งมาด้วยกัน ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย หลังออกมาจากรถยนต์สักพัก รถก็เกิดเพลิงไหม้จนวอดทั้งคัน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการสอบปากคำผู้บาดเจ็บอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป