ปิดช่องเจรจา สนธิ ร้องสภาทนายความ สอบมรรยาท ทนายตั้ม-ทนายเดชา
วันที่ 21 พ.ย. 2567 เวลา 16:11 น.
เดินหน้าสุดซอย สนธิ ร้องสภาทนายความ สอบมรรยาท ทนายตั้ม-ทนายเดชา ยัน ไม่มีเจรจา จ่อยื่นสรรพากรฟันภาษี ชี้ เงินเจ๊อ้อยเป็นค่าจ้าง ไม่ใช่ให้โดยเสน่หา วันนี้ (21 พ.ย.67) เมื่อเวลา 13.30 น. ที่สภาทนายความ ถ.พหลโยธิน นายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ พร้อมทนายความ เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนให้พิจารณาสอบมรรยาททนายความกับนายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม และนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา โดยมีนายสุชาติ ชมกุล อุปนายกฝ่ายกิจการพิเศษ กำกับดูแลงานมรรยาททนายความ เป็นผู้รับเรื่อง จากนั้นจึงเข้าพบกับ นายคณิต วัลยะเพ็ชร์ ประธานกรรมการมรรยาททนายความ โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที นายสนธิ กล่าวว่า ตนเองเดินทางมาที่สภาทนายความฯ ยื่นคำร้องใน 2 เรื่อง เรื่องแรก คือกล่าวโทษกล่าวหาการกระทำของนายษิทราว่า เข้าข่ายผิดจรรยาบรรณของทนายความหรือไม่ และขอให้คณะกรรมการมรรยาททนายความพิจารณาดำเนินการ พักใบอนุญาตทนายความหรือถอดถอนใบอนุญาตทนายความ ส่วนเรื่องที่ 2 คือมายื่นหนังสือให้สอบมรรยาทนายเดชา ว่าทำผิดจรรยาบรรณหรือไม่ เนื่องจากมากล่าวหาตนว่าฉ้อโกง / โกงเงินธนาคาร เรียกรับเงินจากบริษัทเอกชนโดยไม่มีหลักฐาน ส่วนตัวเชื่อว่าการเข้ายื่นเรื่องในวันนี้ตัวเองจะได้รับความเป็นธรรม พร้อมฝากถึง ทนายเดชา ว่า “ในเดือน ธ.ค.นี้ เตรียมรับของขวัญจากตนเองได้เลย” ขณะเดียวกัน นายสนธิ ยังระบุว่า ภายในเดือน ธ.ค.นี้ ตนจะนำหลักฐานไปยื่นให้กรมสรรพากรตรวจสอบการเสียภาษีของนายษิทราว่า เงินที่นายษิทราได้มาจาก น.ส.จตุพร หรือเจ๊อ้อย มีการเสียภาษีอย่างถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ เพราะเงินดังกล่าวเป็นเงินค่าว่าจ้างไม่ใช่การให้โดยเสน่หา ซึ่งขณะนี้ น.ส.จตุพร ได้ทำเอกสารมอบอำนาจทางกฎหมายให้ตัวเองดูแลเรื่องคดี และตัดสินใจในการดำเนินคดีทั้งหมด จากการพูดคุยครั้งสุดท้ายยืนยันว่าจะไม่มีการเจรจาและจะเดินหน้าอย่างสุดซอย ด้านนายปานเทพ ตั้งข้อสังเกตเรื่องการทำสัญญาว่าจ้างที่ทนายตั้มทำให้เจ๊อ้อยว่า อาจจะมีการเปิดให้ดัดแปลงเนื้อหาในภายหลังได้หรือไม่ เนื่องจากหน้าแรกของสัญญา พบว่า มีการเขียนข้อมูลรายละเอียด แต่หน้าที่สอง กลับมีการเว้นพื้นที่ว่างไว้เป็นจำนวนมาก เกือบครึ่งหน้ากระดาษ และในจุดที่ให้เซ็นลายมือชื่อ ยังมีการเว้นวรรคระหว่างบรรทัดของลายมือ ทนายความและเจ๊อ้อย ไว้อีกหลายบรรทัดจนผิดสังเกต จึงนำเรื่องดังกล่าวมาเปิดเผย และมอบให้สภาทนายความ ตรวจสอบพฤติกรรมดังกล่าว