ประหารชีวิต “แอมไซยาไนด์” วางยาชิงทรัพย์ ส่วนอดีตสามี-ทนายพัช จำคุกไม่รอลงอาญา
วันที่ 20 พ.ย. 2567 เวลา 13:03 น.
ศาลอาญา อ่านคำพิพากษา 3 ชั่วโมงเศษ สั่งประหารชีวิต “แอมไซยาไนด์” วางยาชิงทรัพย์เหยื่อ ส่วนอดีตสามี จำคุก 1 ปี 4 เดือน ทนายพัช จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ฐานช่วยทำลายหลักฐาน ให้พวกจำเลยร่วมกันชดใช้ผู้เสียหายกว่า 2 ล้านบาท วันนี้ (20 พ.ย.67) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณา 713 ศาลอาญา รัชดา ศาลอ่านคำพิพากษา คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 และ มารดาผู้เสียชีวิต ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง นางสรารัตน์ หรือ แอม ไซยาไนด์ จำเลยที่ 1 ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อตระเตรียมการหรือเพื่อสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น, ชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ปลอมปนอาหาร ยาหรือเครื่องอุปโภคอื่นใด เพื่อบุคคลอื่นเสพหรือใช้ และการปลอมปนนั้นเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย ส่วน พ.ต.ท.วิฑูรย์ อดีตสามี และอดีตรอง ผกก.สภ.สวนผึ้ง จำเลยที่ 2 และ น.ส.ธันย์นิชา หรือ ทนายพัช จำเลยที่ 3 ในความผิดฐาน ช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มิต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง และซ่อนเร้นทำลายหลักฐาน คดีนี้อัยการโจทก์ระบุฟ้องพฤติการณ์ความผิดพวกจำเลยต่อศาลอาญาเมื่อวันที่ 18 ก.ค.66 สรุปว่า เมื่อวันที่ 14 เม.ย.66 นางสรารัตน์ จำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่า น.ส.ศิริพร หรือก้อย โดยนำสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ (Potassium Cyanide) ซึ่งเป็นสารพิษปลอมปนใส่ลงในอาหาร หรือน้ำดื่ม และปริมาณเท่าใดไม่ปรากฏชัด ให้ผู้ตายดื่มหรือรับประทาน ระหว่างที่จำเลยที่ 1 กับผู้ตายซึ่งเป็นเพื่อนกันเดินทางไปปล่อยปลาที่ท่าน้ำ ต.บ้านโป่ง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ก่อนที่ผู้ตายจะหมดสติ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การช่วยเหลือและนำทรัพย์สินของผู้ตาย 9 รายการ มูลค่า 154,630 บาทไปให้แก่ผู้มีชื่อ เพื่อซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ ตามที่จำเลยที่ 3 ได้ใช้ หรือยุยงส่งเสริมจำเลยที่ 2 เพื่อมิให้เจ้าพนักงานตำรวจติดตามหาทรัพย์ของผู้ตาย เพื่อเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มิให้ต้องรับโทษตามกฎหมาย หรือให้ได้รับโทษน้อยลงอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ และต่อสู้คดี โดยจำเลยที่ 1 ถูกคุมขังในทัณฑสถานหญิงกลาง ส่วนจำเลยที่ 2-3 ได้รับการประกันตัวโดยศาลตีราคาประกันคนละ 1 แสนบาท โดยก่อนอ่านคำพิพากษาศาลให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ให้ใส่กุญเเจมือจำเลยทั้งสามราย ศาลพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามกระทำผิดตามฟ้อง เห็นว่านางสรารัตน์ กระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อกระทำอย่างอื่น พิพากษาประหารชีวิต ส่วน พ.ต.ท.วิฑูรย์ จำเลยที่ 2 และ น.ส.ธันย์นิชา หรือทนายพัช จำเลยที่ 3 มีความผิดฐาน ช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง และซ่อนเร้นทำลายหลักฐาน ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี แต่พ.ต.ท.วิฑูรย์ จำเลยที่ 2 ให้การเป็นประโยชน์ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ร่วม 2,346,588 บาท ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้ศาลใช้เวลาอ่านคำพิพากษาประมาณ 3 ชั่วโมงเศษ ตั้งเเต่ช่วง 09.30 น.ถึง 12.30 น.เศษ ทันทีที่ได้ยินคำพิพากษา ครอบครัวของนางสาวก้อย ต่างก็ร้องไห้ด้วยความดีใจและโผเขากอดกับลูกสาว ส่วนจำเลยทั้งสาม ไม่มีท่าทีสลดหรือแสดงอาการเสียใจแต่อย่างใด ยังมีบางช่วงที่หันไปคุยกันแล้วหัวเราะออกมา