สถานสงเคราะห์เอกชนโหด ทารุณกรรมเด็กมีแผลฟกช้ำ บังคับกินเผ็ดจนลิ้นติดเชื้อรา
วันที่ 8 พ.ย. 2567 เวลา 13:59 น.
อดีตพี่เลี้ยง เผย สถานสงเคราะห์เอกชนชื่อดัง ทารุณกรรมเด็กจนมีแผลฟกช้ำ ลิ้นติดเชื้อรา ลงโทษให้ออกแล้ว แต่ยังได้กลับมาทำงาน ขณะที่ พม.เชียงใหม่-ตำรวจ แยกเด็ก 17 รายไปดูแลที่อื่น พร้อมแจ้งความดำเนินคดีพี่เลี้ยงแล้ว วันนี้ (8 พ.ย.67) ทีมข่าวได้รับแจ้งข้อมูลจากอดีตพี่เลี้ยงและอาสาสมัครในสถานสงเคราะห์เด็กของมูลนิธิเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า มีเด็ก ๆ ในสถานสงเคราะห์แห่งนี้หลายคนต้องทุกข์ทรมานจากการถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจหลายครั้ง โดยครูและพี่เลี้ยง ทำให้เด็กอยู่ในสภาพย่ำแย่และต้องเติบโตมากับความหวาดกลัว แม้จะมีการแจ้งปัญหาให้กับคณะกรรมการมูลนิธิได้ทราบ แต่ดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้ยังคงเกิดขึ้น แหล่งข่าวที่เป็นอดีตพี่เลี้ยง ให้ข้อมูลว่า หลายปีก่อนหน้านี้ตนทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็ก ก่อนจะลาออกไปเรียนต่อ จากนั้นได้กลับเข้ามาสมัครทำงานที่เดิมอีกครั้งในฝ่ายพยาบาล โดยมีกำหนดทดลองงานเป็นเวลา 6 เดือน แต่การกลับมาครั้งที่สองทำให้พบเรื่องที่ไม่สบายใจ เมื่อเห็นเด็ก ๆ ถูกเลี้ยงดูไม่เหมาะสม เข้าข่ายทารุณกรรมด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การตวาด หยิก ตีจนเกิดร่องรอยบาดแผล เหวี่ยงเด็กจนติดตู้ ให้เด็กกินพริกจนลิ้นบวม ให้นั่งตากแดด 2-3 ชั่วโมง ถือชามข้าวนั่งกระโถน เอากระโถนแขวนคอ ให้ถือชามข้าวนั่งคุกเข่าเป็นชั่วโมง โดยคนที่ทำร้ายเด็กมีทั้งนักพัฒนาการเด็กและพี่เลี้ยงเด็ก ภาพที่เห็นทำให้รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก จึงถ่ายภาพและคลิปเหตุการณ์บางส่วนไว้ แต่กลับถูกห้ามปราบ บอกว่าห้ามเข้ามายุ่ง อ้างว่าเป็นการสั่งสอนเด็กที่ทำความผิดและไม่เชื่อฟัง ตนมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและเชื่อว่าเข้าข่ายทารุณเด็ก จึงไปแจ้งต่อนักสังคมสงเคราะห์ หวังให้ทราบเรื่องและแก้ไขปัญหา แต่ปรากฏว่าตนกลับถูกโหวตไม่ผ่านการทดลองงาน ด้วยเหตุผลที่ถ่ายคลิปในสถานสงเคราะห์ที่เป็นการฝ่าฝืนกฏระเบียบและเป็นการละเมิดสิทธิเด็ก อดีตพี่เลี้ยงเด็ก บอกอีกว่า ที่ออกมาเปิดเผยเพราะไม่ต้องการให้เด็กถูกทำร้ายอีก เพราะเด็กถูกทอดทิ้งก็มีปมในใจอยู่แล้ว การทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจจะเป็นการเพิ่มบาดแผลในใจให้กับเด็ก ซึ่งจะมีผลกับเด็กในอนาคต อยากให้สถานสงเคราะห์ปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลเด็ก คัดสรรบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจ และให้ความสำคัญกับ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก รวมทั้งเสนอแนะให้ทางมูลนิธิแต่งตั้งคณะกรรมการเข้ามาในรูปแบบสหวิชาชีพ ขณะที่ อดีตอาสาสมัครคนหนึ่ง เล่าว่า ในปี 2566 มีเด็กไม่สบายและถูกนำส่งโรงพยาบาลของรัฐ แพทย์ตรวจพบร่องรอยบาดแผลฟกช้ำในตัวเด็ก ต่อมาช่วงกลางปีแพทย์ยังพบลิ้นเด็กติดเชื้อราซึ่งสันนิษฐานว่ามาจากการกินเผ็ดรุนแรง แพทย์เห็นว่าเป็นอาการเจ็บป่วยที่ไม่ปกติ จึงรายงานหน่วยงานรับผิดชอบตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ ต่อมาทางมูลนิธิจึงมีการสอบสวนข้อเท็จจริง พบว่ามีพี่เลี้ยง นักพัฒนาการเด็ก และนักสังคมสงเคราะห์ จำนวน 9 คน กระทำความรุนแรงต่อเด็ก และมีการทำทัณฑ์บน 1 คน ลงโทษด้วยการให้ออก 8 คน แต่ภายหลังก็รับกลับมาทำงานอีก 4 คน โดย 1 ใน 4 นั้นมีอาการซึมเศร้ารับยาอยู่ที่โรงพยาบาล ถือว่ามีคุณสมบัติไม่เหมาะสม เสี่ยงที่เด็กจะถูกกระทำซ้ำอีก อีกทั้งในเดือน ก.ค.67 ยังพบมีการทำร้ายเด็กเกิดขึ้นอีก สาเหตุเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ขาดความรู้ความเข้าใจในการดูแลเด็กเชิงบวกและไม่ให้ความสำคัญกับ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก ขณะที่ผู้บริหารก็ไม่ได้ลงมากำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ล่าสุดวันที่ 1 ต.ค.67 เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงาน ทั้งสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงใหม่ และ ทีมเจ้าหน้าที่ส่วนกลางจากกรมกิจการเด็กและเยาวชน และตำรวจศูนย์พิทักษ์ เด็ก สตรี ครอบครัวและปราบปรามการค้ามนุษย์ ได้เข้ามาตรวจสอบสถานสงเคราะห์แห่งนี้ โดยมีการแยกเด็กกลับไปดูแลที่อื่น เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก รวม 17 คน รวมทั้งเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับพี่เลี้ยงที่ปรากฏหลักฐานว่าทำร้ายหรือลงโทษเด็กด้วยความรุนแรง อดีตอาสาสมัคร บอกว่า ต้องการให้เรื่องนี้อยู่ในความสนใจของสาธารณะ ไม่อยากให้สังคมละเลยปล่อยผ่าน เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีกระบวนการจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นหลักและสถานสงเคราะห์อื่น ๆ ก็ควรตระหนักถึงรูปแบบวิธีการเลี้ยงดูที่ดีด้วยเช่นกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสถานสงเคราะห์เด็กเอกชนแห่งนี้ เป็นสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าเก่าแก่ของจังหวัดเชียงใหม่ รับดูแลเด็กกำพร้าอายุ 3 เดือน - 6 ปี จดทะเบียนเป็นสถานสงเคราะห์เอกชนภายใต้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์