พบอีก! ปลอมใบเสร็จรถเบนซ์ มาดามอ้อย
วันที่ 7 พ.ย. 2567 เวลา 16:42 น.
ข่าวเย็นประเด็นร้อน - เรื่องรถเบนซ์ G-400 ตกลงแล้ว ราคาเท่าไร แล้วทนายตั้มใช้วิธีอย่างไร วันนี้ทีมข่าวเย็นประเด็นร้อน ไปเจาะรายละเอียดมา พบข้อมูลที่น่าตกตะลึงหลายอย่าง พบอีก! ปลอมใบเสร็จรถเบนซ์ มาดามอ้อย เรื่องการกินส่วนต่างซื้อรถเบนซ์นั้น ทีมข่าวได้ข้อมูลมาว่า มีการทำใบเสร็จราคาเกินจริง โดยรถคันที่ซื้อราคา 11.4 ล้านบาท แต่ทำใบเสร็จเป็น 12.9 ล้านบาท ทำให้เกิดส่วนต่างจำนวน 1.5 ล้านบาท โดยโชว์รูมที่ทนายตั้มไปติดต่อเซลล์เพื่อซื้อรถยนต์นั้น เป็นโชว์รูมที่ไม่ได้ขายรถเบนซ์ แต่ขายเฉพาะรถตู้ โตโยต้า รุ่นอัลพาร์ด ทีมข่าวเดินทางไปยังโชว์รูมแห่งนี้ ในเขตสวนหลวงกรุงเทพฯ พนักงานให้ข้อมูลบางส่วนเฉพาะที่โชว์รูมรับรู้เท่านั้น ว่า โชว์รูมไม่ได้ขายรถเบนซ์ให้กับทนายตั้ม เพราะว่าโชว์รูมขายเฉพาะรถโตโยต้า รุ่นอัลพาร์ด เท่านั้น ซึ่งก็จริง เพราะว่าทีมข่าวเห็นรถในโชว์รูม ก็มีแต่รถโตโยต้า รุ่นอัลพาร์ด เท่านั้น พนักงานให้ข้อมูลด้วยว่า เท่าที่ทราบ ทนายตั้มเคยซื้อรถตู้รุ่นอัลพาร์ด ที่นี่ แล้วรู้จักเซลล์คนหนึ่งชื่อย่อ น. จากนั้นก็อาจติดต่อกันเองส่วนตัว ให้เซลล์คนดังกล่าวหารถเบนซ์ให้ โดยไม่ผ่านโชว์รูม ซึ่งปัจจุบันเซลล์ที่มีชื่ออักษรย่อ น. ได้ลาออกจากบริษัทโชว์รูมแห่งนี้ไปประมาณ 1 ปีกว่าแล้ว ทีมข่าวได้พยายามสืบเสาะหาข้อมูล จนพบว่า เซลล์ที่ชื่อ น. ได้ไปติดต่อซื้อรถเบนซ์รุ่นดังกล่าวจากบริษัทนำเข้ารถยนต์แห่งหนึ่ง ไม่ใช่โชว์รูมแห่งนี้ เพราะว่าใบเสร็จที่ซื้อรถเบนซ์ของพี่อ้อย ก็ไม่ได้ออกในนามของโชว์รูมที่อยู่ในกรุงเทพฯ แต่ว่าออกในชื่อบริษัทอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ทีมข่าวเดินทางไปที่บริษัทแห่งนี้ พบว่า ที่ตั้งของบริษัทอยู่ในหมู่บ้านจัดสรร ลักษณะเป็นทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น แต่ว่าวันนี้ไม่มีใครอยู่ สอบถามชาวบ้านที่อยู่ข้าง ๆ บอกว่าบ้านนี้อยู่กันหลายคน และลักษณะใช้บ้านเป็นที่ตั้งของออฟฟิศด้วย แต่ก็ไม่รู้ทำธุรกิจอะไร เมื่อลองโทรศัพท์สอบถาม ตามเบอร์โทร.ที่อยู่ด้านหน้า ก็ปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น และไม่รู้จักทนายตั้มด้วย อย่างไรก็ตาม ทีมข่าวได้ข้อมูลมาว่า ใบเสร็จที่ซื้อรถเบนซ์ G-400 ออกจากบริษัทแห่งนี้ โดยมีการออกใบเสร็จ 2 ครั้ง ครั้งแรกออกใบเสร็จราคารถ 11.4 ล้านบาท แต่ว่าต่อมากลับมีการออกใบเสร็จอีกครั้งเป็นราคา 12.9 ล้านบาท โดยเซลล์ที่รู้จักกับทนายตั้ม ได้นำใบเสร็จที่ออกครั้งหลังสุดไปส่งให้ที่สำนักงานทนายความของทนายตั้ม ซึ่งถ้าเป็นไปตามนี้ก็จะมีค่าส่วนต่างเกิดขึ้น 1.5 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการซื้อรถเบนซ์ G-400 มีข้อมูลว่าได้ติดฟิล์ม 30,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีการใช้เงินซื้อตั๋วเครื่องบินไปฮ่องกงจำนวน 1 ล้านบาท ค่าที่พักในทริปดังกล่าวอีก 500,000 บาท รวมเงินที่เบิกจากพี่อ้อยในรอบนี้ก็คือ 13.93 ล้านบาท แต่ว่ารถเบนซ์ที่ซื้อ เท่าที่ทีมข่าวหาข้อมูลมาได้ พบว่าทนายตั้มไม่ได้จ่ายเงินทั้งหมดในครั้งเดียว แต่เป็นการทยอยจ่ายด้วย ผกก.แจงปมบันทึกประจำวัน หลอกเงิน 39 ล้านบาท ส่วนกรณีเงิน 39 ล้านบาท ซึ่ง นายนุ กับ นางสาวสา ไปลงบันทึกประจำวันที่ สน.แห่งหนึ่ง เมื่อ 23 พฤษภาคมปีที่แล้ว ว่า โอนบิตคอยน์ 7 ครั้ง ไปให้บัญชีปลายทางไม่ทราบชื่อ รวมมูลค่าเงิน 2 ล้านกว่าบาท ทำให้กระเป๋าเงินบิตคอยน์ของตัวเองถูกระงับบัญชี ไม่สามารถเข้าถึงได้อีก และต่อมานำบันทึกประจำวันนี้ไปหลอกพี่อ้อย จนพี่อ้อยต้องเขียนเช็คให้ 39 ล้านบาท พอเรื่องนี้แดงขึ้นมา จนต่อมาก็รู้ว่า สน.ที่นายนุกับนางสาวสาไปลงบันทึกประจำวันเป็นที่ สน.บางซื่อ ทำให้ต่อมามีการสาวสัมพันธ์ว่า หรือเป็นเพราะทนายตั้มสนิทกับผู้กำกับการ สน.บางซื่อ จึงให้นายนุกับนางสาวสาไปลงบันทึกประจำวันที่นั่น ทั้งที่ถ้าดูตามบ้านที่อยู่ของนายนุกับนางสาวสา 2 ที่ คือที่ลาดพร้าว และวังทองหลาง หากไปลงบันทึกประจำวัน สน.ใกล้บ้าน ในพื้นที่รับผิดชอบ ก็น่าจะต้องเป็น สน.โชคชัย และ สน.วังทองหลาง วันนี้ ทีมข่าวโทรศัพท์สอบถาม พันตำรวจเอก ภูวดล อุ่นโพธิ ผู้กำกับการ สน.บางซื่อ ท่านยอมรับรับว่า รู้จักกับทนายตั้มมา 5 ปีแล้ว ที่ผ่านมา มีบ้างที่ทนายตั้มมักจะมาลงบันทึกประจำวันที่ สน.บางซื่อ แต่ทุกครั้งที่จะมาลงบันทึกประจำวัน จะโทร.มาบอกก่อน ส่วนการที่นายนุกับนางสาวสา มาลงบันทึกประจำวัน ทนายตั้มไม่ได้โทร. มาเหมือนทุกครั้ง ตรงจุดนี้ จึงตั้งข้อสังเกตว่า ทนายตั้มกับพวกอาจมีแผนที่ไม่อยากให้รู้ จึงไม่โทร.มาบอก ซึ่งตอนนี้ ตรวจสอบเรื่องที่ทนายตั้มมาลงบันทึกไว้ที่ สน.บางซื่อ มี 1 เรื่อง คือ ลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐาน กรณีหมิ่นประมาท ซึ่งก็ได้ถอนคำร้องทุกข์ไปแล้วด้วย ส่วนการที่นางสาวสามาลงบันทึกประจำวันเมื่อ 23 พฤษภาคม หลังจากที่ร้อยเวรรับลงบันทึกประจำวัน และคัดถ่ายสำเนาให้นางสาวสาแล้ว ได้มารายงานและปรึกษาตนว่า เป็นการลงบันทึกประจำวันที่แปลก เพราะตัวนางสาวสาถือสคริปต์เป็นกระดาษมา 1 แผ่น และบอกกับร้อยเวรว่า เพื่อนที่อยู่เมืองจีนชื่อ เอ ได้กู้ยืมเงิน จึงโอนไป 7 ครั้ง เป็นจำนวนเงิน 2 ล้านกว่าบาท แต่พอโอนไปแล้วถูกระงับบัญชี และไม่รู้ว่าบัญชีปลายทางคือใคร จึงมาลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน แต่พอร้อยเวรถามหาหลักฐานการทำธุรกรรม ก็บอกไม่มีหลักฐาน อ้างว่าหาย และที่สำคัญแสดงความประสงค์ที่จะไม่ติดตามคดี ร้อยเวรจึงแจ้งว่าถ้าเป็นแบบนี้ เป็นคดีแพ่ง เพราะเป็นการกู้ยืมเงิน แต่ว่าสุดท้ายก็ให้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน และคัดถ่ายสำเนาให้ไป ผู้กำกับการ สน.บางซื่อ บอกว่า หลังเกิดข่าวกรณีทนายตั้มไปโกงพี่อ้อย มีเรื่อง 39 ล้านบาท เกิดขึ้น และมีกรณีลงบันทึกประจำวันนี้ด้วย ทำให้รู้สึกว่า ทนายตั้มกับพวกมีการวางแผนมาล่วงหน้า เพื่อไปทำอย่างอื่น โดยตนเพิ่งรู้เมื่อวาน กลายเป็นว่าเป็นเพื่อนกัน มาหลอกกันแบบนี้ แล้วนำใช้ไปใช้ประโยชน์ในทางไม่ดี ก็รู้สึกไม่ดีที่มาทำแบบนี้