ผัวกัดแก้มเมีย สำนึกผิดก้มกราบเท้าขอโทษ
วันที่ 6 พ.ย. 2567 เวลา 14:08 น.
ผัวหัวร้อน กระโดดกัดแก้มเมียเลือดอาบหน้า ก่อนจะสำนึกผิดก้มกราบเท้าขอโทษ ทั้งกอด ทั้งหอมเมียต่อหน้าตำรวจและนักข่าว เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 6 พฤศจิกายน ขณะที่ ร.ต.อ.สถาพร สวัสดี รอง สวป.สภ.เมืองอุดรธานี นำกำลังตำรวจสายตรวจออกปฏิบัติหน้าที่ ในพื้นที่รับผิดชอบ รับแจ้งเหตุทำร้ายร่างกายกัน บริเวณลานจอดรถหน้าแฟลตร้าง ด้านหลังสถานีรถไฟอุดรธานี ชุมชนหนองเหล็ก ม.9 ต.หมากแข้ง เขตเทศบาลนครอุดรธานี จึงนำกำลังรุดออกไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุ พบนายสรศักดิ์ อายุ 39 ปี ชาวสกลนคร สาวประเภท 2 อยู่ที่หน้าแฟลต ให้การกับตำรวจว่า ขณะตนกำลังปูเสื่อนั่งล้อมวงกินข้าว และดื่มเหล้าขาว เพื่อเรียกน้ำย่อยกับเพื่อนๆ และสามีชื่อ นายจำลอง อายุ 34 ปี ที่อยู่กินกับมา 6 เดือน และตนได้ใช้สามีไปเอากระเป๋าเงินภายในห้องพัก ปรากฏว่าเงินหายไป 200 บาท เดิมทีมีเงินอยู่ 300 บาท ตนจึงถามสามีว่าทำไมเงินในกระเป๋าเหลือเพียง 100 บาท มันหายไปไหน 200 บาท สามีก็ปฏิเสธเสียแข็งว่าไม่ได้ลักเงินของตนไป และทำท่าทางไม่พอใจตน โดยการเตะสำรับข้าวกระจาย โต้เถียงสักพัก สามีก็กระโดดกัดที่โหนกแก้มซ้ายตนจนเลือดไหล ไม่รู้จะเสียโฉมหรือไม่ ตนสู้ไม่ได้จึงคว้ามีดพร้าไล่ขู่ให้สามีหนีออกไปข้างนอกเฟลต พร้อมกับเหวี่ยงมีดใส่สามีแต่ไม่โดน สามีจึงเก็บมีดไปซ่อนไว้ แล้วมีพลเมืองดีผ่านมาเห็นโทร ช่วยโทรแจ้งตำรวจ ที่ผ่านมาสามีทำร้ายร่างกายตนมาตลอด แต่ไม่รุนแรงขนาดนี้ และทุกครั้งที่ทะลาะลงไม่ลงมือกัน ส่วนมาสามีก็สู้ตนไม่ได้ เพราะตัวเล็กกว่า แต่วันนี้บังเอิญตนเสียท่าหกล้ม ยืนยันว่าจะไปแจ้งความเอาผิดฐานถูกทำร้ายร่างกายจนเสียโฉม เมื่อประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา สามีเคยมีคดีความ ตนก็ไปเจรจาไกล่เกลี่ยให้ เพราะรักเขามาก จนได้ออกมาอยู่ด้วยกันต่อ แต่วันนี้จากความรัก กลับกลายเป็นความรังเกียจไปเลย กับในสิ่งที่เขาทำกับตน ตำรวจจึงเข้าไปเรียกนายจำลอง ที่หลบซ่อนตัวอยู่บนห้องพักในเฟลตร้าง ให้ลงมาพูดคุยตกลงกัน ซึ่งนายจำลอง ก็เดินลงมาด้วยสีหน้าสำนึกผิด และยืนยันว่าไม่ได้ลักเงินในกระเป๋าภรรยาไป และสำนึกผิดที่ใจร้อน เพราะดื่มเหล้าขาวไปเยอะ แต่ยืนยันว่าไม่ได้เสพยา หากภรรยาจะเลิกกับตนก็ห้ามเขาไม่ได้ แต่ตนก็ยังรักภรรยาอยู่เหมือนเดิม พอตำรวจปลดกุญแจมือให้นายจำลองได้มีโอกาสขอโทษภรรยา นายจำลองได้ก้มลงกราบเท้าที่พื้น ก่อนที่จะเข้าไปโอบและหอมแก้มภรรยาต่อหน้านักข่าวและตำรวจ ทำให้ผู้เป็นภรรยาถึงกับเขิน ก่อนจะเริ่มใจอ่อนยอมให้อภัย และพากันไปทำแผล