ผู้การฯไซเบอร์ 1 ยืนยันไม่ปกป้องลูกน้องอุ้มรีด 300 ล้าน

วันที่ 1 พ.ย. 2567 เวลา 13:50 น.

คดีอุ้มรีด 300 ล้าน ผู้การฯไซเบอร์ 1 ยืนยันไม่ปกป้องลูกน้องทําผิด โยนนครบาลดําเนินคดีเต็มที่ ยํ้านิ้วไหนร้ายตัดทิ้ง ตำรวจไม่ดีต้องออกไป วันนี้ (1 พ.ย. 67) พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (ผบก.สอท.1) เปิดเผยความคืบหน้ากรณีมีเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ 3 นาย เข้าไปร่วมแก๊ง ก่อเหตุอุ้ม นายไซ ชาวจีนถือสัญชาติวานูอาตู รีดเงินดิจิทัล 10 ล้าน USDT ตีเป็นเงินไทยประมาณ 300 ล้านบาท ว่า การตรวจค้นมีการนำหมายศาลเข้าไปอย่างถูกต้องโดยมีตำรวจกว่า 10 นาย เข้าร่วมตรวจค้น ซึ่งในจำนวนดัวกล่าวเป็นตำรวจไซเบอร์ 3 นาย ทันทีที่ทราบเรื่องต้นสังกัดได้ดำเนินการตั้งกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงทันที ตั้งแต่วันที่ 18 ต.ค.67 รวมถึงตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงหากพบมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทําผิด ”นิ้วไหนร้าย ก็ต้องตัดทิ้ง“ และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ”ยังเหลือนิ้วให้ตัดอีกหรือไม่“ ทาง พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ หัวเราะก่อนตอบว่า ”จะดําเนินคดีทั้งอาญาและวินัยอย่างเด็ดขาด“ ผบก. สอท. 1 บอกด้วยว่า จะดําเนินการกับผู้บังคับบัญชาการของตํารวจไซเบอร์ทั้ง 3 นาย หากตรวจสอบพบว่ามีการปล่อยปะละเลยก็จะต้องได้รับโทษทางวินัย ฐานกํากับดูแลไม่เรียบร้อย ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตถึงความสัมพันธ์ของตํารวจทั้ง 9 นาย  พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ ระบุว่า เบื้องต้นทราบว่าตํารวจทั้ง 9 นาย เคยอยู่สังกัดตํารวจไซเบอร์ก่อนจะถูกโยกย้ายไปประจําหน่วยต่าง ๆ ส่วนกรณีที่ 3 ตํารวจไซเบอร์ปัจจุบัน เคยมีพฤติการณ์ก่อเหตุในพื้นที่ อ.ลําลูกกา จ.ปทุมธานี นั้น ตนไม่ทราบว่ามีประวัติดังกล่าวแต่ยืนยันว่าที่ผ่านมาดําเนินการกวดขันเข็มงวด สำหรับเหตุการณ์อุ้มรีด 300 ล้าน เกิดเหตุเมื่อวันที่ 16 ต.ค.67 ซึ่งต่อมาวันที่ 22 ต.ค.67 นายไซ เข้าไปแจ้งความกับตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง จนกระทั่งวันที่ 28 ต.ค.67 ตำรวจไซเบอร์ที่ถูกพาดพิง 3 นาย ได้เข้าไปมอบตัวที่ สน.ทุ่งสองห้อง จากนั้นทาง บก.สอท 1 มีคำสั่งให้ไปช่วยราชการ ศปก.บก.สอท.1 ต่อมาเมื่อมีข่าวเผยแพร่ออกไป จึงเปลี่ยนคำสั่งให้ไปที่ ศปก.บช.สอท จนถึงปัจจุปัน รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้าที่จะเป็นข่าวใหญ่ กลุ่มตํารวจที่ก่อเหตุพยายามจะขอเจรจากับผู้เสียหาย ขอคืนเงินเพื่อยุติเรื่อง แต่หนึ่งในกลุ่มตํารวจได้ทักท้วงว่าหากคืนเงินจะทําให้เป็นหลักฐานหรือเท่ากับยอมรับว่ากระทําผิดจริง จึงตัดสินใจที่นิ่งเงียบจนกระทั่งมีการออกหมายจับ