ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ทนายเดชา เชื่อ ตร.ออกหมายเรียกมากกว่าหมายจับ
วันที่ 1 พ.ย. 2567 เวลา 09:18 น.
ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ทนายเดชา เชื่อ ตร.ออกหมายเรียกมากกว่าหมายจับ ให้โดยเสน่หาหรือฉ้อโกง พิสูจน์ในชั้นศาล วันนี้ (1 พ.ย.67) ทนายเดชา หรือนายเด กิตติวิทยานันท์ ไลฟ์ผ่านเพจทนายคลายทุกข์ถึงกระแสข่าวร้อนทนายตั้มกับคดีฉ้อโกงเป็นปกติธุระว่า วานนี้ตำรวจสอบปากคำเจ๊อ้อย ในฐานะพยานเป็นเวลานาน 12 ชั่วโมง เท่าที่สอบถามจากแหล่งข่าว ทราบว่า ตำรวจสอบปากคำครบทุกประเด็น ในข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระ หมายถึงฉ้อโกงหลายครั้งหลายหน ฉ้อโกงเงิน 71 ล้าน ฉ้อโกงรถเบนซ์ หลอกเอาสิ่งของต่าง ๆ อาจเริ่มจากการแจ้งข้อกล่าวหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ซึ่งมีหลักฐานหลักฐานพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหา ส่วนตัวมองว่าตำรวจน่าจะออกหมายเรียกภายใน 1-2 วันนี้ เชิญตัวให้มารับทราบข้อกล่าวหา มากกว่าออกหมายจับ “ เรื่องเงิน 30 ล้าน ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นการให้หรือย่างไร กรณีหลบเลี่ยงภาษีน่าจะดำเนินการเป็นลำดับต่อไป เบื้องต้นทนายตั้มถูกดำเนินคดีแน่” ทนายเดชา ระบุ ทนายเดชา อธิบายข้อกฎหมายกับประชาชน ว่า “ให้โดยเสน่หา” คือการให้โดยไม่หวังค่าตอบแทน ส่วน “ฉ้อโกง” คือ หลอกลวงร่วมลงทุน เช่น หลอกร่วมลงทุนทำแพลตฟอร์มลอตเตอรี่ เพื่อจะมีรายได้ระยะยาว เพราะคนเดิมถูกดำเนินคดีปรากฎเป็นข่าวไปแล้ว ทนายเดชา กล่าวถึงข้อหา ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ เจ๊อ้อยต้องมีพยานหลักฐานนำสืบให้ได้ว่าเป็นการฉ้อโกง แสดงข้อความเท็จอย่างไร ปกปิดความจริงอย่างไร ทำให้หลงเชื่อ เช่น หลักฐานการโอนเงิน ข้อความแช็ต ทวงถามเพื่อเอาเงินคืน ส่วนทนายตั้ม เชื่อว่าจะต้องต่อสู้พิสูจน์ความจริง กรณี “ให้โดยเสน่หา” ก็ต้องมีพยานหลักฐานมายืนยัน ว่าให้ตั้งแต่เมื่อไร “เท่าที่ทราบให้เงินมา 1-2 ปีแล้ว ต่างฝ่ายต่างต้องใช้พยานหลักฐานเพื่อเอาผิด คดีฉ้อโกงผ่านมา 2 ปีแล้ว ถ้ารู้ว่าถูกฉ้อโกงนานเกิน 3 เดือน ไม่แจ้งความ คดีขาดอายุความ จบเลย ส่วนประเด็นที่ระบุว่ามีการเอาเงินไป อ้างว่าเอาไปติดต่อผู้ใหญ่ หากนำไปใช้เพื่อกระทำผิดกฎหมาย สถานะจะไม่ใช่ผู้เสียหาย แต่จะกลายเป็นร่วมกระทำผิด”