ญาติแห่เยี่ยม บอสชาย
วันที่ 24 ต.ค. 2567 เวลา 16:42 น.
ข่าวเย็นประเด็นร้อน - เช้าวันนี้ "ครอบครัว-คนรัก-ทนาย" ตบเท้าเข้าเยี่ยมบรรดาบอสชายดิไอคอนวันแรก ด้านรองโฆษกราชทัณฑ์ เผยทุกคนเริ่มปรับตัวได้ เครียดน้อยลง ญาติแห่เยี่ยม บอสชาย บรรยากาศบริเวณหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นที่คุมขังผู้ต้องหาชายในคดีบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป จำนวน 11 คน ประกอบด้วย บอสพอล, บอสปีเตอร์, บอสเอก, บอสโอม, บอสวิน, บอสทอมมี่, บอสป๊อป, โคชแล็ป, บอสอ๊อฟ, บอสกันต์ และ บอสแซม โดยก่อนหน้านี้อยู่ในขบวนการกักโรคโควิด-19 ระยะเวลา 6 วัน และสิ้นสุดการกักโรคในวันนี้ และทางเรือนจำได้เปิดให้ญาติสามารถเดินทางเข้าเยี่ยมได้ โดยเวลา 10.50 น. มีผู้หญิงสูงอายุ 1 คน ผมสั้น สวมเสื้อสีเขียวลายดอกไม้ ถือกระเป๋าสาน ได้เดินออกมาบริเวณด้านหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พร้อมผู้หญิงสูงอายุ สวมเสื้อสีส้ม ซึ่งผู้สื่อข่าวจดจำใบหน้าได้ ละม้ายคล้ายแม่ของบอสพอล จึงรีบเข้าไปสอบถามว่า "ใช่คุณแม่บอสพอลหรือไม่" ปรากฏว่ามีการยกมือปฏิเสธไม่ให้สัมภาษณ์ และบอกว่าไม่ใช่แม่บอสพอล ก่อนรีบเดินขึ้นรถยนต์ มีรายงานว่าในตอนเข้าเยี่ยม ทางแม่ของบอสพอลไม่ได้เข้าไปเยี่ยมด้วย แต่รออยู่ด้านนอก เนื่องจากไม่ได้ส่งรายชื่อเข้าไปก่อน และภายหลังการเข้าเยี่ยม ครอบครัวมีการยืนพูดคุยกัน บางคนที่เข้าไปถึงกับน้ำตาคลอออกมา ขณะที่แม่บอสพอลยืนพูดคุยกับท่านอื่น ๆ เกี่ยวกับคดีของบุตรชาย เผย บอสดิไอคอนฯ เริ่มปรับตัวได้แล้ว ด้าน นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผอ.กองทัณฑวิทยา รักษาราชการแทน ผอ.ทัณฑสถานหญิงกลาง และในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า สำหรับอาการล่าสุดของบรรดาบอสชายและบอสหญิง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิตใจ การปรับตัว การรับประทานอาหารนั้น ทุกคนเริ่มปรับตัวได้ มีความเครียดน้อยลง และจนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่มีใครเจ็บป่วย ส่วนวันนี้คือวันเยี่ยมญาติเป็นวันแรกสำหรับบรรดาบอสชาย หลังครบกำหนดระยะเวลาการกักโรคไวรัสโควิด-19 แต่ไม่ขอเปิดเผยเลขแดน เพื่อความปลอดภัย ขณะที่บรรดาบอสหญิงที่ครบกักโรคไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคมนั้น ก็ได้ถูกย้ายเข้าแดนควบคุมระหว่างพิจารณาคดีเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ข้อมูลการเยี่ยมญาติของบรรดาบอสชายและบอสหญิง ตนไม่สามารถเปิดเผยได้ สอบ รองผู้การฯ ร่วมเครือข่าย ขณะที่เพจดังยังแชร์บุคคลร่วมเครือข่ายดิไอคอนแบบต่อเนื่อง ล่าสุดเป็นตำรวจยศพันตำรวจเอก ขึ้นเวทีร่วมงานดิไอคอน งัดอาชีพการันตีอะไรดี อะไรไม่ดี เพจเฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว ได้โพสต์คลิปพร้อมข้อความว่า "บอสโปลิศ...ชีวิตดี๊ดีที่ The icon เส้นทางความสำเร็จที่สำนักงานตำรวจให้ไม่ได้" โดยในคลิปเป็นการจัดงานของบริษัทดิไอคอนอย่างอลังการ มีคนไปร่วมงานเป็นจำนวนมาก แต่ไฮไลต์สำคัญ คือ มีนายตำรวจระดับสูง ยศพันตำรวจเอก ขึ้นไปกล่าวแนะนำตัวเอง เรียกเสียงปรบมือจากคนที่ไปร่วมงาน ตำรวจนายนี้ ระบุบางช่วงบางตอนว่า เขาจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รับราชการตั้งแต่ยศร้อยตำรวจตรี ในปี 2535 จนได้เป็นพนักงานสอบสวนคดีใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นฆ่าหั่นศพ ข่มขืนแล้วฆ่า เขาก็เป็นพนักงานสอบสวนชุดนั้น และทำมาโดยตลอด ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องตรวจสอบว่าอะไรดีไม่ดี อะไรถูกไม่ถูก "มีคนถามว่าผมเข้ามาธุรกิจนี้ได้อย่างไร รับราชการก็ดีอยู่แล้ว ยศพันตำรวจเอกนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้มา มีอาชีพ มีความเป็นอยู่ในสังคมอย่างมีเหตุมีผล ได้เงินเดือนที่แน่นอน 1 ปี ขึ้น 2 ครั้ง ครั้งละ 400 บาท หรือ 200 บาท แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเอาจากผมไปก็คือเวลา ไปเที่ยวต่างประเทศเป็นศูนย์ ป่วยลามาขาด ลายาก ผมจึงต้องหาสิ่งที่ชดเชย หาสิ่งที่ตอบแทนในสิ่งที่ขาดหายไป" ทีมข่าวสอบถามข้อเท็จจริงจากตำรวจนายนี้ ยอมรับว่า เคยขึ้นเวทีดิไอคอนจริง เมื่อปี 2560 ที่เมืองทองธานี โดยเป็นการขึ้นพูดตามปกติ เพราะบริษัทก็จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย แต่เป็นสมาชิกได้แค่ 2 ปี ก็เลิกทำ ล่าสุด พลตำรวจโท อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าชุดทำคดีดิไอคอนกรุ๊ป ระบุว่า จากการตรวจสอบพบว่าตำรวจนายดังกล่าว เป็นรองผู้การฯ อยู่ที่จังหวัดสระบุรี ซึ่งวันนี้จะมีการเรียกตัวมาพบ เพื่อสอบสวนว่ามีความผิดหรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับเจตนาและสถานที่ที่ไปพูด ว่าพูดเรื่องอะไร มีเจตนาอะไร พร้อมระบุว่า จริง ๆ ทุกอาชีพสามารถทำอาชีพเสริมได้ แต่ต้องไม่กระทบใคร จ่อเรียก เอกภพ พร้อมพยานให้ปากคำ ขณะที่ คุณเอกภพ สายไหมต้องรอด ส่องานเข้า หลังพาบุคคลที่อ้างว่าเป็นพยานปากสำคัญในเรื่องเส้นเงินดิจิทัลที่เอี่ยว 1 ในบอสดิไอคอนกรุ๊ป เข้าให้การกับ พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. ก่อนที่ พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ จะตรวจสอบและเปิดเผยว่า บุคคลดังกล่าวให้การเท็จ ล่าสุด พลตำรวจตรี ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผู้บังคับการกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวผ่านทางโทรศัพท์เกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า หากในช่วงบ่ายวันนี้ นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของบอสพอล มาแจ้งความเอาผิดกับนายเอกภพ พร้อมพยานที่มาให้ข้อมูลเรื่องสกุลเงินดิจิทัลว่าเป็นการแจ้งความเท็จ พนักงานสอบสวนก็จะพิจารณาเชิญทั้ง 2 คน มาสอบปากคำภายในสัปดาห์หน้า เช่นเดียวกับ นางสาวกฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ เจ้าของเพจ "กฤษอนงค์ต้านโกง" ถึงแม้ว่าเมื่อวานนี้ นางสาวกฤษอนงค์จะเข้ามาให้ข้อมูลไปก่อนแล้วก็ตาม ดีเอสไอ รับคดีฟอกเงิน ดิไอคอน เป็นคดีพิเศษ ล่าสุด ช่วง 14.00 น. ที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ แถลงรับคดีฟอกเงิน ดิไอคอน เป็นคดีพิเศษ เหตุความผิดมีมูลค่าเกิน 300 ล้านบาท โดย พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทน อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุว่า คดีดังกล่าวเป็นไปตามบัญชีท้ายประกาศ กคพ. ในข้อที่ 7 คือ คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน คดีความผิดที่มีบทกำหนดโทษตามมาตรา 60 และมาตรา 61 แห่งพระราชบัญญัติป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่มีความผิดมูลฐานเป็นคดีพิเศษซึ่งอยู่ในอำนาจของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ หรือคดีความผิดมูลฐานที่เป็นคดีอาญาอื่นที่มีมูลน่าเชื่อว่ามีทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่มีมูลค่าตั้งแต่ 300 ล้านบาทขึ้นไป เป็นอำนาจของอธิบดีดีเอสไอ สามารถดำเนินการได้ทันที พันตำรวจตรี ยุทธนา กล่าวอีกว่า ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษเฉพาะคดีอาญา ฐานฟอกเงินเท่านั้น ซึ่งเป็นการดำเนินคดีกับคนโอน หรือรับโอนทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด หรือได้มาครอบครอง หรือใช้ประโยชน์ทรัพย์นั้น โดยรู้อยู่แล้วว่าทรัพย์นั้นได้มาจากการกระทำความผิดฉ้อโกงประชาชน ส่วนความผิดอื่นยังอยู่ในอำนาจของพนักงานสอบสวน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ปปง. จะรับดำเนินการในเรื่องของทรัพย์สิน ซึ่งทรัพย์สินที่ดีเอสไออายัดไว้จะแจ้งให้กับ ปปง.ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป สำหรับทรัพย์สินที่ดีเอสไออายัดไว้ ประกอบด้วย 3 กลุ่ม กลุ่มแรก ทรัพย์สินที่ดิน จำนวน 3 แปลง ที่ลำลูกกา, กลุ่มที่ 2 ทรัพย์สินที่เป็นที่ตั้งของดิไอคอน รวมทั้งอาคารและสิ่งปลูกสร้าง และกลุ่มที่ 3 ทรัพย์สินที่ตรวจยึดได้ที่รามอินทรา เช่น นาฬิกา และกระเป๋าแบรนด์เนม ซึ่งอยู่ระหว่างให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบว่า ทรัพย์นั้นเป็นของแท้หรือของปลอม ตามที่มีการตั้งข้อสังเกต