มิน พีชญา น้ำตาคลอ ขอยุติสัญญา

วันที่ 11 ต.ค. 2567 เวลา 16:40 น.

ข่าวเย็นประเด็นร้อน -  "มิน  พีชญา" แจงแล้ว เป็นแค่ผู้รับจ้าง และพีอาร์ผลิตภัณฑ์บริษัทดัง ไม่ได้หาลูกค้าและ ร่วมลงทุนใด ๆ ส่วนคำเรียก "บอส" คนในบริษัทเรียกเองเป็นการให้เกียรติ มิน พีชญา น้ำตาคลอ ขอยุติสัญญา เมื่อช่วง 14.00 น. ที่ผ่านมา "มิน พีชญา วัฒนามนตรี" ดารานักแสดงชื่อดัง ออกมาแถลงข่าว หลังถูกโยงเรียก "บอสมิน" และมีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรในบริษัท ว่า ไม่ได้นิ่งนอนใจ หลังจากเกิดเรื่อง ตนอยู่ในบริษัทในฐานะพรีเซนเตอร์ และผู้รับจ้างในผู้บริหารฝ่ายสื่อสารองค์กร หรือ พีอาร์ มีสัญญาชัดเจน ส่วนคนข้างในบริษัทเรียกตนว่า "บอส" ซึ่งคนในบริษัทจะเรียกกันเอง เพื่อให้เกียรติ ในส่วนของการทำพีอาร์ จะได้รับค่าตัว เท่ากับค่าตัวพรีเซนเตอร์ปกติทั่วไป ซึ่งในส่วนนี้ มีสัญญาชัดเจน พร้อมเอาไปมอบกับพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยการจ้างเป็นการเหมารวมกับพรีเซนเตอร์ และพีอาร์เลย ส่วนหน้าที่ตนคือ พรีเซนเตอร์ และ พีอาร์ คือ เข้าไปอยู่ในงานและพีอาร์ผลิตภัณฑ์ ตามงานต่างๆ ที่บริษัทแจ้งมา มิน พีชญา ยังเปิดเผยอีกว่า มีทุกวันนี้ เพราะประชาชน วันนี้ไม่ได้นิ่งนอนใจ ตั้งแต่เข้ามาไม่เคยมีจุดไหนน่าสงสัยในตัวบริษัทเลย ภาพลักษณ์ดีมาก และเพิ่งได้ยินเรื่องเสียหายของบริษัท พร้อมกับทุกคน เมื่อได้ยิน ตกใจมาก พยายามตั้งสติ และตั้งรับ พร้อมประกาศยกเลิกสัญญากับบริษัทนี้ มิน พีชญา ยังเปิดเผยอีกว่า ครอบครัวมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมารับงานพรีเซ็นเตอร์บริษัทนี้ก็ได้ หากทราบตั้งแต่แรกว่า การดำเนินธุรกิจจะทำให้เกิดความเสียหาย แต่เพราะไม่เคยรู้จริง ๆ และเชื่อมาตลอดว่าบริษัทจะสามารถช่วยคนหารายได้ จึงได้รับ การให้ข้อมูลจากบริษัทเป็นมุมดีหมดเลย และเราเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตทุกคนดีขึ้น และเราลองใช้จริงทั้งหมด ผ่านการกิน คนในครอบครัวก็ใช้จริง ที่ผ่านมามีสคริปต์ แต่เราพูดด้วยความจริงใจ บอย ปกรณ์ ยกเลิกสัญญา คืนเงินค่าจ้าง ขณะเดียวกัน บอย ปกรณ์ ได้ไปออกรายการของ หนุ่ม กรรชัย หลังถูกโยง พร้อมนำเอกสาร ขอยกเลิกสัญญากับทางบริษัทดังกล่าวและคืนเงินค่าจ้าง ซึ่งมีผลเรียบร้อยแล้ว พร้อมเผยว่า ตนเองเป็นเพียงพรีเซ็นเตอร์เท่านั้น รวมถึง ในใบสัญญาไม่ได้มีการชักชวนคนในมาทำธุรกิจด้วยกัน หากตำรวจจะตรวจสอบ ตนก็ยินดี ยืนยัน 100% ผมไม่ได้เป็นบอส ไม่ได้เป็นผู้บริหารกล้าพิสูจน์ ปู มัณฑนา ร่วมเฟรมบอสใหญ่ เพจดังขยี้ต่อไม่หยุด แชร์ภาพ "ปู มัณฑนา" พร้อมด้วยสามี "หาญส์ หิมะทองคำ" ร่วมเฟรม 4 บอสใหญ่ แห่งบริษัท พร้อมเขียนข้อความระบุว่า "อย่าบอกนะที่ปู มัณฑนา เอาเงินไปลงทุนทำธุรกิจ จนเป็นหนี้เป็นสิ้นเพราะธุรกิจนี้ ทำเอาชาวเน็ตหลายคนเริ่มสงสัย ว่านี่ใช่สาเหตุที่ ปู มัณฑนา เป็นหนี้หรือไม่? รรท. ผบ.ตร. เผยผู้เสียหาย 161 คน มูลค่า 62 ล้าน รักษาราชการ ผบ.ตร. เผยเตรียมแจ้งข้อกล่าวหาผู้บริหารบริษัทดัง พร้อมชง ปปง.เร่งอายัดทรัพย์ ฟรีซบัญชีไว้ โดย พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการแทน ผบ.ตร เปิดเผยความคืบหน้าที่มีผู้เสียหายเข้าร้องเรียนที่ศูนย์รับเรื่องเรื่องทุกข์ บก.ปคบ. ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ว่าพนักงานสอบสวน 50 คน ได้สอบผู้เสียหายไปแล้วเกือบ 161 คน รวมมูลค่าความเสียหาย 62 ล้านบาท ยอมรับว่าเป็นธุรกิจที่มีเส้นบาง ๆ กั้นระหว่างขายตรงกับแชร์ลูกโซ่ ซึ่งยังไม่ฟันธง ต้องดูข้อเท็จจริง โดยเย็นวันนี้พนักงานสอบสวนจะพยามรวบรวมข้อเท็จจริง แล้วสรุปวินิจฉัยว่าเป็นความผิดเรื่องไรบ้าง พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ เปิดเผยอีกว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ หรือดาราที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งไม่ได้เอ่ยว่าเป็นใคร ได้วางแนวการสอบสวนไว้ ซึ่งต้องดูก่อนว่าเป็นความผิดประเภทไหน เกี่ยวข้องกับใคร แล้วถึงมีหมายเรียกไปถึงบุคคลคนนั้นเพื่อสอบปากคำ ถ้าเรียกแล้วไม่มาจะเสนอศาลขอออกหมายจับต่อไป ขณะนี้ทำงานอย่างเต็มที่ เพราะรู้ว่าประชาชนกำลังเดือดร้อน ตำรวจต้องให้ได้ข้อเท็จจริงจากการสอบสวนมาก่อน ถึงจะมาพิจารณาว่าข้อเท็จจริงนั้นเข้าข่ายผิดกฎหมายไหน ทีมกฎหมาย บช.ก.จะไปร่วมกับดีเอสไอ ปปง. และ สคบ. จะหารือเพื่อให้ครบองค์ประกอบความผิด และให้เกิดความรอบคอบ พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ กล่าวด้วยว่า ได้มีหนังสือถึงเลขาธิการ ปปง.ว่าผู้บริหารของบริษัทที่ถูกกล่าวหาว่ากำลังกระทำความผิดอาจทำธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งเลขาธิการ ปปง.รับทราบ จะเร่งรัดพิจารณาระงับธุรกรรมทางการเงิน ปปง.จ่ออายัดทรัพย์ บริษัทขายตรง ชื่อดัง ขณะที่ นายวิทยา นีติธรรม ผอ.กองกฎหมาย และในฐานะโฆษกสำนักงาน ปปง. เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่มีหนังสือแบบรายงานคดีซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินจาก บก.ปคบ. ที่ส่งมายังสำนักงาน ปปง. นั้น ล่าสุด นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. ได้มีคำสั่งมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ ปปง. เข้าไปดำเนินการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังได้มีการประชุมทีมเจ้าหน้าที่ในเนื้อหาสาระสำคัญ โดยในสัปดาห์หน้าคาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น หลังเจ้าหน้าที่ได้ใช้เวลาดำเนินการ ส่วนระหว่างนี้ ปปง. จะต้องทำการตรวจสอบความสมบูรณ์ครบถ้วนจากรายงานข้อมูลของตำรวจ ปคบ. ว่ามีความเพียงพอที่ ปปง. จะดำเนินการตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินได้หรือไม่ หากยังมีรายละเอียดใดที่ ปปง. ประสงค์เพิ่มเติมก็จะต้องทำการสอบถามกลับไปใหม่ เพื่อให้ได้ความถูกต้องชัดเจนมากที่สุด ไม่ว่าจะเรื่องรายการทรัพย์สิน หรือตัวบุคคลที่มี ส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์ ทนายเกิดผล เผยกลุ่มดารารอดยาก นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความ เปิดเผยกับทีมข่าวผ่านทางโทรศัพท์มือถือว่า ถ้าหาพิสูจน์ทราบแล้วว่าบริษัทมีความผิดจริง กลุ่มดารานักแสดงที่ร่วมกันประชาสัมพันธ์ ก็จะต้องมีความผิดตามไปด้วย เนื่องจากดารากลุ่มนั้นมีการแบ่งหน้าที่การทำงานกันอย่างชัดเจน ทั้งชักจูง โฆษณาให้มาร่วมลงทุน จะมาอ้างว่าบริษัทดังกล่าวจ้างมาให้ตนไปทำการโฆษณาไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นการร่วมการกระทำความผิด โดยยกตัวอย่างเช่น คดีร่วมกันปล้นชิงทรัพย์ ซึ่งจะมีทั้งคนวางแผน คนดูต้นทาง และคนชิงทรัพย์ ถ้าคนชิงทรัพย์โดนจับ คนวางแผนและคนดูต้นทางก็จะต้องถูกดำเนินคดีไปด้วย นอกจากนี้ ทนายเกิดผลยังบอกอีกว่า การที่ชาวบ้านไปร่วมลงทุนนั้น เนื่องจากเขาไว้เนื้อเชื่อใจกลุ่มดาราที่มาโฆษณาชักชวนให้ลงทุน เพราะชาวบ้านมองว่าการที่ดารามาโฆษณานั้น มีความน่าเชื่อถือสูง ดาราเหล่านั้นคงไม่เอาชื่อเสียงของตัวเองที่สั่งสมมานานมาแปดเปื้อนกับการหลอกลงทุนแต่อย่างใด ตนจึงอยากให้ดาราเหล่านั้นออกมาเยียวยาผู้เสียหาย เพราะอาจจะทำให้ศาลฯ บรรเทาโทษได้ จ่อออกหมายจับบอสใหญ่ภายใน 48 ชม. ล่าสุด รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่าภายใน 48 ชั่วโมงนี้ จ่อออกหมายจับบอสใหญ่บริษัทดัง โดย พันตำรวจเอก อุเทน นุ้ยพิน รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า จากการสืบสวนพบว่าบริษัทดังกล่าว มีรายได้สูงถึง 5,000 ล้านบาท ทั้งที่มีผลิตภัณฑ์จำหน่ายแค่ 15 รายการ อันนี้เป็นประเด็นสำคัญในการสอบสวนว่าในเชิงธุรกิจทั่วไปนั้น บริษัทที่มีสินค้าอยู่ 15 รายการ จะสามารถทำยอดได้ถึง 5,000 ล้านหรือไม่ เป็นประเด็นสำคัญว่าแท้จริงแล้วบริษัทนี้มีผลิตภัณฑ์ไปให้ประชาชนขายจริงหรือไม่ หรือเป็นการหลอกลวงให้ประชาชนมาลงทุน สำหรับบัญชีธนาคารเมื่อวานนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ส่งเรื่องไปที่เลขา ปปง.เกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงินของบริษัท วันนี้ทางปคบ.จะส่งบัญชีธนาคารประมาณ 120 บัญชีไปให้ ปปง. วิเคราะห์ว่าการทำธุรกรรมมีเหตุอันควรสงสัยที่จะเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินหรือไม่ โดยตำรวจขอเวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมง ในการออกหมายจับระดับบอสใหญ่และผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยจะไม่มีการออกหมายเรียก ขณะนี้ขอรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อให้ทราบองค์ประกอบความผิดและให้ครบถ้วนมากที่สุด โดยเฉพาะความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะหยุดยั้งการทำธุรกรรมและอายัดการทำธุรกรรมทางการเงินของผู้กระทำผิด โดยยังไม่ระบุได้ว่าจะสามารถออกหมายจับได้กี่คนและใครบ้าง แต่ขอบอกว่าใครที่โลดแล่นในบริษัทดังกล่าวต้องได้รับผลกรรม