ตำรวจล่าหัวหมุนข้ามคืน อดีตนักมวยหนีหมายจับคดีลักทรัพย์ เข้าบ้านคนจับตัวประกันหนีรอด เมียเครียดปิดล้อมจับผัว ใช้ปืนจี้หัวตัวเองขึ้นรถตำรวจหนี สุดท้ายยอมจำนน
วันที่ 4 ต.ค. 2567 เวลา 07:36 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น. วันที่ 3 ต.ค. 67 ที่ผ่านมา เกิดเหตุคนร้ายแต่งกายชุดลายพราง สวมเสื้อเกาะ พร้อมอาวุธปืน บุกเข้าไปในบ้านพักแห่งหนึ่งในซอยอินทามระ 29 แยก 1 ถ.สุทธิสารวินิจฉัย แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. ซึ่งในบ้านมีคนพักอาศัยอยู่ 3 คน โดยคนร้ายทราบชื่อต่อมาคือ นายสันติ เจ๊ะอะหลี อายุ 38 ปี ซึ่งมีหมายจับของศาลอาญาในความผิดฐาน ลักทรัพย์ , บุกรุกในเวลากลางคืน ในท้องที่ของ สน.เตาปูน เบื้องต้นตำรวจได้ทำการจะจับกุมตามหมายจับ แต่ผู้ต้องหาขัดขืนและยิงสกัดต่อสู้จนหลบหนีมาในบ้านพักหลังดังกล่าว โดยในบ้านมีผู้หญิง 1 คน และผู้ชายอีก 2 คน อย่างไรก็ตาม มีภาพจากกล้องวงจรปิดจะเห็นได้ว่า ผู้ต้องหาได้มีการพยายามปีนกำแพงเข้าไปหลบหนีในบ้าน และเมื่อเข้าไปในบ้านก็ไม่ได้มีเจตนาหรือมีความต้องการที่จะจับคนในบ้านเป็นตัวประกันแต่อย่างใด ขณะที่เฮียตี๋ ซึ่งเป็นอดีตนายจ้างของผู้ต้องหา ได้เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาเคยเป็นนักมวย ใช้ชื่อในวงการว่า “ฤทธิเดช ใหม่เมืองคอน” แต่พอเลิกชกมวยตนก็ได้ว่าจ้างให้มาเป็นครูฝึกสอนที่ค่ายมวยของตนย่านอินทามระ แต่ก็อยู่ด้วยกันเพียงแค่ 4 เดือนเท่านั้น โดยตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน ผู้ต้องหาไม่เคยมีพฤติกรรมความรุนแรงให้เห็นแต่อย่างใด แต่ที่อยู่ด้วยกันไม่ได้เป็นเพราะเพราะผู้ต้องหามีพฤติกรรมชอบลักทรัพย์ มีหลายครั้งที่ของใช้ส่วนตัวของนักมวยในค่ายหายไป และผู้ต้องหามีพฤติกรรมเสพยาบ้าเป็นประจำ จนทำให้ตนต้องไล่ออกไป ในเวลาต่อมา พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันเพ็ชร์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) พร้อมด้วยนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในพื้นที่ตำรวจนครบาล และหน่วยอรินทราชติดอาวุธครบมือ ได้เข้ามาร่วมกันระงับเหตุ กระทั่งเวลาประมาณ 00.30 น. วันที่ 4 ต.ค. 67 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ได้เปิดเผยว่า เบื้องต้นตำรวจสามารถช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในบ้านได้ทั้ง 2 คน โดยทั้งคู่อาการปลอดภัย จากการตรวจสอบพบเป็นชาย 2 คน อาชีพนายแพทย์ อายุ 30 และ 31 ปี ซึ่งทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน ส่วนคนที่อยู่ในบ้านซึ่งเป็นผู้หญิงอีก 1 คนนั้น ทราบว่าได้หนีออกมาตั้งแต่ช่วงแรกที่เกิดเหตุแล้ว สำหรับผู้ต้องหาพบว่าหลบหนีไป โดยได้ผ่านทางช่องระบายอากาศ ก่อนจะปีนออกไปที่บริเวณด้านหลังของบ้าน ซึ่งขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างติดตามไล่ล่าเส้นทางการหลบหนี ยืนยันว่าฝ่ายสืบสวนมียุทธวิธีในการติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี นอกจากนี้จากที่สังเกตการณ์ พบผู้ต้องหาไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายใคร ต้องการเพียงแค่จะหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน. เตาปูน เพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในเวลาไล่เลี่ยกันเกิดเหตุความวุ่นวายขึ้นอีก เมื่อพบว่าภรรยาของ นายสันติ ได้ใช้อาวุธข่มขู่ว่าจะทำร้ายตัวเอง หลังเกิดภาวะเครียดจากการที่สามีถูกเจ้าหน้าที่ปิดล้อมจับกุม โดยเหตุดังกล่าวอยู่ที่อาคารร้างแห่งหนึ่ง บริเวณแยกสุทธิสาร ริมถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่นายสันติถูกปิดล้อมไม่ไกลมากนัก เจ้าหน้าที่ต้องเข้าเกลี้ยกล่อม ต่อมาหลังจากใช้เวลาเกลี้ยกล่อมกว่า 2 ชั่วโมง พบว่าภรรยาผู้ต้องหาได้ยินยอมพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ แต่ได้ใช้อาวุธพยายามขู่ทำร้ายตัวเอง พร้อมขึ้นรถสายตรวจ 191 ไปกับตำรวจ 1 นาย ก่อนที่ตำรวจคนดังกล่าวจะขับรถออกจากจุดเกิดเหตุไปพร้อมกับภรรยานายสันติ โดยมีรายงานว่ารถคันดังกล่าวขับมุ่งหน้าไปทาง จ.พระนครศรีอยุธยา ทางตำรวจจึงได้จัดชุดไล่ล่าติดตาม ซึ่งมีรายงานว่าผู้ก่อเหตุโดดออกจากรถ บริเวณถนนเลียบคลองธัญบุรี อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เจ้าหน้าที่จึงเรียกกำลังเสริมจากหลายหน่วย และปิดล้อมพื้นที่ กระทั่งต่อมา ทราบชื่อภรรยาของนายสันติ ผู้ต้องหาที่หนีหมายจับ คือ น.ส.พจนี โดยขณะน.ส.พจนีขึ้นไปบนรถของตำรวจ เจ้าตัวเอาปืนติดตัวขึ้นไปด้วย และในรถมีตำรวจอยู่ 1 นาย ทำหน้าที่ขับรถ ทำให้ทุกคนเป็นห่วงความปลอดภัยของตำรวจนายนี้ เพราะอาการของ น.ส.พจนี ยังไม่อยู่กับร่องกับรอย ก่อนที่รถตำรวจได้ขับไป ตามเส้นทางแรกคือจากแยกสุทธิสาร มุ่งหน้า ม.กรุงเทพ ปทุมธานี ก่อนที่รถตำรวจคันนี้จะวกกลับ มุ่งหน้าไปที่คลอง 1 มุ่งหน้า จ.นครนายก โดยระหว่างทางได้มีการประสานให้ตำรวจในพื้นที่ตั้งด่านสกัด แต่ก็ยังไม่เป็นผลสำเร็จ จากนั้นรถตำรวจขับมุ่งหน้าไปที่ชุมชน และวกวนอยู่ภายในพื้นที่ จ.ปทุมธานี นานนับชั่วโมง ก่อนที่จะขับไปทาง อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา กระทั่งช่วงเวลา 03.00 น. รถตำรวจได้จอดบริเวณริมถนนธัญบุรี -วังน้อย ต.วังจุฬา อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ช่องทางคู่ขนาน มุ่งหน้า จ.พระนครศรีอยุธยา โดย น.ส.พจนี ได้อาศัยจังหวะนี้โดดลงจากรถ แล้ววิ่งหนีลงไปที่ทุ่งนาข้างทาง และยังได้ยิงปืนออกมา 3 นัด เจ้าหน้าที่ต้องหลบกระสุน จึงทำให้ น.ส.พจนี หายไปในทุ่งนาริมถนน หลังจากนั้นตำรวจได้ทำการบินโดรน จำนวน 2 ลำ เพื่อค้นหา น.ส.พจนี แต่ก็ยังไม่พบตัว โดยได้ทำการเสริมกำลัง และวางแผนกันเพื่อค้นหา แต่ก็ยังไม่พบตัว ต่อมาได้ใช้โดรนบินจับสัญญาณความร้อนอยู่ประมาณ 20 นาที ก็พบตัว น.ส.พัชนี ซุกซ่อนอยู่ในทุ่งนา ซึ่งเฮียตี๋ที่มาช่วยเจ้าหน้าที่เกลั้ยกล่อมจึงพยายามใช้โทรโข่งภายในรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อพยายามเกลี้ยกล่อม แต่ยังไม่เป็นผล โดย น.ส.พจนี มีการคุยโต้ตอบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แล้วยกมือซ้ายขึ้น พร้อมตะโกนว่ายอมแล้ว แต่มือขวายังจับอาวุธปืนอยู่ ซึ่งเจ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พยายามเกลี้ยกล่อม และควบคุมสถานการณ์ กลัวว่า น.ส.พจนี จะคิดสั้นยิงตัวตาย ล่าสุดเวลา 05.50 น. ทาง น.ส.พจนี ยอมมอบตัว เจ้าหน้าที่จึงเรียก รถพยาบาลเข้าไปปฐมพยาบาลเบื้องตน เนื่องจาก น.ส.พจนี ทีอาการเจ็บขา จากนั้นนำขึ้นรถพยาบาล สังกลับโรงพยาบาลตำรวจ ทันที เพื่อทำการอายัดตัวดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป